ร้านประเสริฐยนต์ ยินดีต้อนรับ
Animated Cool Shiny Blue Pointer Animated Cool Shiny Blue Pointer

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เทคนิค-5-ข้อขับเกียร์ออโต้ให้ประหยัด

             ปัจจุบันนี้ รถยนต์ส่วนใหญ่บนท้องถนนมักใช้เกียร์อัตโนมัติกันทั้งนั้น เนื่องจากความง่ายและสะดวกสบายในการขับขี่ แต่เกียร์อัตโนมัติส่วนมากยังคงมีอัตราสิ้นเปลืองด้อยกว่าเกียร์ธรรมดา เราจึงมาแนะนำ 5 เทคนิคขับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติให้ประหยัดน้ำมันแบบง่ายๆกัน รับรองว่าถ้าปฏิบัติได้ตามนี้ รถของคุณจะประหยัดขึ้นอย่างแน่นอน



 1. ออกตัวเบาๆไม่ต้องรีบ

     เป็นที่รู้กันว่าการจราจรในกรุงเทพมหานคร ไม่เอื้ออำนวยให้ใช้ความเร็วเท่าใดนัก พ้นไฟแดงหนึ่งก็ไปติดอีกไฟแดงหนึ่งอยู่ดี ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องเร่งเครื่องยนต์อย่างรุนแรง เนื่องจากเกียร์ออโต้จะค่อยๆเปลี่ยนอัตราทดตามรอบเครื่องยนต์อยู่แล้ว การฝึกแตะคันเร่งเบาๆจะช่วยให้ประหยัดขึ้นได้มาก สังเกตได้จากเกียร์เปลี่ยนอัตราทดที่รอบต่ำเท่าไหร่ ก็จะประหยัดเพิ่มขึ้นเท่านั้น

     2. ขยับนิดหน่อย Walking Speed ก็พอ

     หากขับขี่ท่ามกลางสภาวะจราจรที่ติดขัดนั้น หากรถสามารถเคลื่อนตัวได้ทีละนิดๆ ก็ใช้วิธีปล่อยเบรคให้รถค่อยๆเคลื่อนไปอย่างช้าๆก็พอ โดยปกติความเร็วเมื่อปล่อยเบรค (ขณะใส่เกียร์ D) จะค่อยๆขึ้นไปแตะระดับ 10 กม./ชม.ได้สบายๆ ไม่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่งก็ไม่ต้องเหยียบ ประหยัดได้อีกเยอะ

 3. หลีกเลี่ยงการคิกดาวน์

     การคิกดาวน์ คือ การเหยียบคันเร่งให้หนักขึ้นกว่าปกติ เพื่อให้ลดระดับเกียร์ลงมา ซึ่งจำเป็นกับการเร่งแซงเพื่อให้หนีพ้นสถานการณ์คับขัน แต่การขับขี่ตามจราจรปกติมักไม่ต้องการอัตราเร่งขนาดนั้น ฉะนั้นผู้ขับจึงควรหลีกเลี่ยงการคิกดาวน์พร่ำเพรื่อบ่อยๆ เพราะเท่ากับเป็นการซดน้ำมันอย่างมากเลยทีเดียว

     4. เบรคน้อยลง ประหยัดขึ้นเยอะ

     การเหยียบเบรคนั้น อาจไม่มีผลโดยตรงต่อการกินน้ำมัน แต่หากเราชะลอความเร็วลงแล้ว ก็คงจำเป็นจะต้องเติมคันเร่งเพื่อให้รถกลับไปยังความเร็วปกติอีกครั้ง ซึ่งส่งผลต่อการกินน้ำมัน ทางที่ดีจึงควรค่อยๆขับไปตามสภาพการจราจรดีกว่า การเว้นระยะคันหน้าอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยลดการเหยียบเบรคได้เป็นอย่างดี แถมยังลดความใจร้อนของผู้ขับได้อีกด้วย ไม่เชื่อลองดูสิ!

     5. เกียร์ออโต้ไม่ได้มีแค่ P R N D นะ

     แม้ว่าจะเป็นเกียร์อัตโนมัติ แต่ผู้ขับก็ยังควรเลือกตำแหน่งเกียร์ให้เหมาะสมต่อการใช้งานขณะนั้น โดยเกียร์อัตโนมัติในปัจจุบันจะมีสัญลักษณ์ +, - หรือตัวเลข 3-2-1 หรือตัวอักษร S, L ตามแต่ผู้ผลิตจะกำหนดมา ซึ่งตำแหน่งต่างๆเหล่านี้ มีประโยชน์อย่างมากเมื่อยามขับรถขึ้นเนินหรือลงเนิน รวมไปถึงการช่วยชะลอความเร็ว ทางที่ดีผู้ขับจึงควรศึกษาคู่มือการใช้รถเพื่อให้ตำแหน่งเกียร์เหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ เช่น การใช้ตำแหน่งเกียร์ L ในการขับรถขึ้นเขา จะทำให้ตัวรถมีกำลังเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นด้วย

     คำแนะนำที่กล่าวมาเบื้องต้นนั้น จะเห็นได้ว่าการขับขี่รถยนต์ให้ประหยัดขึ้น ต้องอาศัยการขับขี่ที่ไม่รีบร้อน ใช้ความเร็วช้าลง ซึ่งสำหรับบางคนแล้วอาจจำเป็นต้องฝึกให้ชิน ซึ่งหากเราไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนเดินทางขนาดนั้นแล้วล่ะก็ คำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นการช่วยถนอมเครื่องยนต์และเกียร์ได้อย่างดีอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

4 คำถามน่าคิดเมื่อต้องซ่อมรถคันเก่า


ในยุคที่ข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ เรารู้ดีว่าหลายคนมีภาระมากมาย แม้ปัจจุบันรถยนต์จะกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในการเดินทางของคนไทย แต่วันนี้ถ้าคุณมีรถแล้วมันเกิดไม่สบาย การซ่อมมันกลับมาใช้ มั่นใจแค่ไหนว่ามันจะคุ้มค่า


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายคนไม่คิด ซึ่งส่วนหนึ่งมันมาจากลูกเกรงใจของคนไทย ที่มักจะเออออห่อหมก โดยไม่คิดก่อนที่จะทำอะไร ทำให้บางครั้งกลายเป็นปัญหา แทนที่จะได้รถเก่าแสนดีมาใช้งานแบบเสียเงินครั้งเดียวแล้วลาจากช่างที่อู่กลับกลายต้องเวียนว่ายไปทุกวัน วันนี้ถ้าคุณกำลัง มีปัญหาใหญ่กับรถคันเก่าสุดเก๋า ลองคิดตาม 4 ข้อ ต่อไปนี้ ว่าซ่อมแล้วมันจะคุ้มค่าหรือไม่

1.ปัญหานี้แก้ได้หายขาดหรือไม่ ปัญหามากมายสามารถเกิดขึ้นได้กับรถเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกกลไกต่างๆที่ทุกอย่างมีอายุการใช้งานของมันเอง จนบางครั้งคุณต้องตกระกำลำบาก(นั่งทานข้าวลิงข้างทาง)อาจจะมาจากอายุการใช้งาน


ปัญหาของรถนั้นมีหลายสาเหตุ ที่คุณสามารถเข้าใจได้แต่ที่สำคัญ คุณต้องรู้ว่ามันจะซ่อมให้หายขาดได้หรือไม่ด้วย โดยเฉพาะเมื่อเสียเงินแล้ว ต้องเสียให้คุ้มกับการใช้งานในอนาคตข้างหน้า อย่างเช่นเครื่องพัง การยกเครื่องใหม่อาจเป็นทางออกที่ดีกว่า หรือเป็นไปได้ลองศึกษาดูว่ามีอะไหล่รถรุ่นไหนสามารถทดแทนกันได้หรือไม่ แล้วลองคิดตามว่าถ้าทำมันจะหายจากอาการที่เป็นหรือเปล่า ซึ่งส่วนหนึ่งต้องปรึกษาผู้รู้ที่ไม่ใช่ช่างที่คุณนำรถไปซ่อม


2. ราคาค่าใช้จ่าย ทุกครั้งที่รถเสียมันหมายถึงเงิน และในยุคนี้มันก็หายากเสียด้วย ซึ่งคุณจำเป็นต้องศึกษาดูถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อม ว่าราคานี้เป็นราคาที่รับได้หรือไม่ อะไรที่จะถูกเปลี่ยนใหม่ อะไรที่จะยังใช้ของเก่า ของแบบนี้ต้องศึกษาให้ดี ที่สำคัญอย่าวางใจให้อู่ทำงานแล้วเช็คบิลทีหลังอู่ที่ได้มาตรฐานจะประมาณการงบประมาณได้ก่อนทำงาน ซึ่งตรงนี้อาจจะประวิงเวลาให้คุณคิดก่อนตัดสินใจซ่อมแซมรถสุดที่รัก และพยายามสอบถามจากผู้ใช้รถรุ่นเดียวกันกับคุณหรือเพื่อนที่เคยมีประสบการณ์ ว่าราคาที่ได้มาสมเหตุผลหรือไม่

3. ผลที่ตามมาหลังซ่อม ในข้อแรกเราให้คุณถามว่าหายขาดหรือไม่ แน่นอนบางอย่างสามารถทำได้แล้วหายเป็นปลิดทิ้งแถมดีกว่าเสียอีก แต่ข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือว่า เมื่อมีงานแปลงบางอย่างอาจไม่เป็นไปอย่างที่คิด และบางครั้งอาจนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายภายหลัง เช่น วางเครื่อง คุณอาจต้องเซทช่วงล่างเพิ่ม เพราะน้ำหนักเครื่องมากกว่าที่ช่วงล่างจะรับได้ เป็นต้น ซึ่งเรื่องแบบนี้อู่มักไม่บอก แต่เมื่อคุณทำการดัดแปลงไปแล้วรถคันนั้นจะราคาตกทันที เพราะฉะนั้นควรคิดรอบคอบถึงผลระยะยาวด้วย



4. คันนี้ใช้คุ้มพอรึยัง หลายคนมักจะคิดว่าตัวเองยังใช้รถไม่คุ้มค่า ที่บางคนรถหลาย 10 ปี ก็ซ่อมแล้วซ่อมอีก จนสุดท้ายเหนื่อยซ่อมนำไปสู่การขายทิ้งซื้อใหม่ในอนาคตอันใกล้อีกอยู่ดี แน่นอนเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วมากมาย เราเลยอยากให้มองว่ารถคันนี้คุ้มทุนแล้วหรือยัง โดยเฉพาะ ถ้ารถคันนั้นมีอายุ เกิน 7 ปี หรือมีระยะทางเกิน 1.5 แสนกิโลเมตร มันอาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนรถใหม่

หลายคนมักคิดว่าเพิ่งผ่อนหมดจบหนี้ทำไมต้องเร่งให้ซื้อรถใหม่ ทว่ารถเก่าก็เหมือนคนแก่ ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นประจำสม่ำเสมอในทุกชิ้นส่วน และยิ่งถ้าคุณเป็นคนไม่ค่อยมีเวลาหรือไม่ค่อยถนัดเกี่ยวกับรถยนต์นัก การนำมันไปแลกเปลี่ยนคันใหม่มาขับแบบสบายใจ แล้วคิดว่าไม่ต้องมีปัญหาวุ่นวายกับอู่ ที่อาจทดแทนด้วยค่าผ่อนรถรายเดือน มันน่าจะคุ้มกว่าไหม แถมรถใหม่ๆยังมีสมรรถนะที่ดีขึ้นและประหยัดมากขึ้นด้วย



4 ข้อนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้หนักมากๆ โดยเฉพาะเมื่อรถคุณต้องซ่อมหนัก ไม่ว่าจะระบบเครื่องยนต์หรืออื่นๆที่จะทำให้รถคันนั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซึ่งนอกจากคุณจะไม่ต้องเสียเวลา วิ่งเข้า-ออกอู่ให้วุ่นวายและรถใหม่ๆประหยัดมากขึ้นแล้ว คุณยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นจากสมรรถนะที่ดีขึ้นของรถคันใหม่


ขับปลอดภัยขจัดภัยอุบัติเหตุ


"ขับดี มีน้ำใจ ภัยไม่มี" เป็นเพียงคำกล่าวที่หยิบยกขึ้นมารณรงค์ แต่ความรู้ที่ช่วยให้ปลอดภัยอย่างแท้จริงเรายังต้องเสาะหา การขับรถดีอาจไม่สามารถบอกต่อให้คนรุ่นหลังได้ครบถ้วน ทำให้หลายคนมีวิธีการปฏิบัติและมีเนื้อหาแตกต่างกัน บางคนใช้วิธีการบอกด้วยความคิด ความรู้สึก ความเข้าใจของตน มิได้มีข้อมูลที่ถูกต้องตรงกัน สิ่งนี้เองเป็นต้นเหตุของความสูญเสีย
บ่อยครั้งที่มีรายงาน การเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เรามักจะได้ยินสาเหตุของการชนกันว่ามาจาก ความประมาท ความมึนเมา มีรถตัดหน้า คันหน้าจอดกะทันหัน ทั้งหมดที่กล่าวมาคือ เหตุเบื้องต้น  ยังไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดอุบัติเหตุ  และยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้นไปอีก หากนำวิธีแก้ไขแบบผิดๆ ไปเผยแพร่หรือแนะนำการขับแบบตามๆ กันมา


   เหมือนการฉีดยาพิษให้ผู้ขับรถ  วิธีปฏิบัติผิดๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น  สอนให้เมื่อขับผ่านสี่แยก ถ้าต้องการตรงไปข้างหน้าแล้ว ต้องเปิดไฟฉุกเฉิน ฝนตก เปิดไฟฉุกเฉิน ทุกเทศกาล ปัญหาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เป็นเรื่องใหญ่ ยังดีปีนี้นายกรัฐมนตรี ออกมาตื่นตัวเป็นคนแรกๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้คนขับรถต้องระวังมากขึ้น  ในสัปดาห์สุดท้ายของปีเรานำเสนอเทคนิคเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และหวังว่าทุกท่านจะปลอดภัยเมื่อต้องขับรถเดินทางไกล


  การเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง (Pre -Trip Preparation)


 ก่อนจะใช้รถ ใกล้ไกลควรจะมีเวลาสำหรับการเตรียมความพร้อม  แม้การเดินทางระยะทางใกล้ๆ การเตรียมรถก็ควรฝึกให้เป็นนิสัย เราควรตรวจสิ่งต่างๆ เช่น ตัวเราเอง


 ร่างกาย ต้องพร้อมพักผ่อนให้เพียงพอ และหากเหนื่อยล้า หรือง่วงนอนระหว่างทาง ควรเปลี่ยนมือ ถ้าไม่มีใครเปลี่ยน ควรพักผ่อน และพยายามอย่ามุ่งมั่นไปที่ปลายทางเพียงอย่างเดียว ควรแวะพักเป็นระยะ  ที่สำคัญ ห้ามดื่มของมึนเมาเด็ดขาด คนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าคือกลไกของร่างกายมนุษย์ ยาหรือสารกระตุ้นใดๆ จึงไม่สามารถป้องกันความเหนื่อยล้าได้


 การนอนหลับเท่านั้น ที่จะช่วยป้องกันความเหนื่อยล้าและอาการหลับในได้ การนอนหลับอย่างเพียงพอหรือประมาณ 7-8 ชั่วโมงจะป้องกันความเหนื่อยล้า อาการหลับในที่เกิดกับผู้ขับขี่รถยนต์มีผลมาจากความเหนื่อยล้า ช่วงระยะเวลาที่ร่างกายล้ามากที่สุด คือ ช่วงตั้งแต่เที่ยงคืนถึงรุ่งเช้า เพราะร่างกายถูกกำหนดมา


  ก่อนออกรถควรทบทวนความพร้อมของตนเอง เช่น ถามตนเองว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ที่ไหน เพิ่งผ่านที่ไหนมา และกำลังจะไปที่ไหน เหลือระยะทางอีกเท่าไร ถ้าตอบคำถามไม่ได้แม้เพียงหนึ่งข้อ ก็หมายความว่าร่างกายยังไม่พร้อม การขับต่อไปอาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ การนอนหลับพักผ่อนเท่านั้นที่จะช่วยป้องกันความเหนื่อยล้าและป้องกันการหลับใน


  การเตรียมรถ อุปกรณ์ประจำรถ จำเป็นต้องมีติดรถไว้ ตรวจดูชุดเครื่องมือ  อุปกรณ์จำพวก สายพ่วง สายลาก ควรติดรถหากไม่มีก็มองหาทีหนีทีไล่เอาไว้ การมีอุปกรณ์เหล่านี้ ในแง่ดี แม้ไม่ได้ใช้เอง ก็สามารถเอาไว้ช่วยเหลือคนอื่นได้  หาไฟสปอตไลท์ที่สามารถต่อใช้งานจากรถไว้หนึ่งดวง หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็หาไฟฉายคุณภาพดีๆ ติดไว้ น้ำมันเชื้อเพลิง มีโอกาสก็ควรจะเติมให้เต็มถัง  โดยเฉพาะเมื่อจะต้องผ่านเส้นทางที่ขาดแคลนสถานีบริการเท่านั้นก็พร้อมจะเดินทาง


 รู้จักการดูแลรักษารถขั้นพื้นฐาน (Basic Vihicle Maintenance)


  ตรวจความพร้อมของระบบไฟและสัญญาณไฟต่างๆ ระดับน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำหล่อเย็น ระดับน้ำสำหรับฉีดทำความสะอาดกระจก ระดับสายพานว่าหย่อนหรือไม่ และที่สำคัญคือ สารเหลวที่เกี่ยวข้องกับระบบการขับเคลื่อน เช่น  น้ำมันเบรก น้ำมันเพาเวอร์ น้ำมันเกียร์ และรายการอื่นๆ นอกจากที่กล่าวมา มีผู้ขับขี่หลายคนที่ไม่เคยทดสอบการทำงานของระบบฉีดน้ำล้างกระจกและการทำงานของใบปัดน้ำฝน


  อีกประการหนึ่ง คือ การตรวจสอบประสิทธิภาพการเบรกก่อนจะเคลื่อนรถทุกครั้ง   นอกจากนี้ให้ดูแลยางเป็นพิเศษ  ยางไม่พร้อม การเดินทางเกิดขึ้นไม่ได้ และหากว่าล้อหมุน ไปแล้ว เกิดยางไม่พร้อมกลางทาง  ต้องแก้ไข  ความเร็วรถระดับร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงกับ หน้ายางสัมผัสพื้นแค่ฝ่ามือ ไม่มีทางที่จะปลอดภัย สภาพยางต้องไม่มีร่องรอยฉีกขาด บวม หรือดอกยางสึกเกินไป  การวัดลมยาง ต้องให้พอดีกับผู้ผลิตรถแนะนำ และหากไม่รู้ว่าจะมี  น้ำหนักบรรทุกรออยู่ระหว่างทางข้างหน้าหรือไม่ ให้เพิ่มเผื่อไว้ มากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์ การสูบลมยางไว้ที่ สเปกบรรทุก ดีกว่า การปล่อยให้รถรับน้ำหนัก โดยไม่เติมลม  ยางแข็งจะปลอดภัยกว่ายางอ่อน เพราะว่ายางอ่อน เวลาวิ่งโครงสร้างยางจะเสียดสีกันเอง ก่อให้เกิดความร้อนและนำมาซึ่งยางระเบิด


 เทคนิคการขับรถเชิงป้องกัน (Defensive Driving Tactics)


 เทคนิคมีหลายประการ เริ่มต้นตั้งแต่ การปรับท่านั่งเก้าอี้ การจับพวงมาลัย การแซง การเบรก แต่เทศกาลเรามักจะต้องขับรถในความมืดของกลางคืน ดังนั้น จึงขอหยิบยกการขับขี่กลางคืนมาเป็นตัวอย่าง  ก่อนอื่นเราต้องถามตัวเราเองว่า อุบัติเหตุที่เกิดกลางคืนนั้นเกิดเพราะอะไร? หากบอกว่า เกิดเพราะมีสิ่งกีดขวาง หรือ เพราะจอดรถโดยไม่เปิดไฟ หรือเกิดเพราะขับมาด้วยความเร็วสูง สิ่งที่กล่าวมานั้นมีส่วนถูกแต่ไม่ทั้งหมด เพราะว่าไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุ แต่เป็นเพียงเหตุเบื้องต้นเท่านั้น ปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดในเวลากลางคืน คือ เกิดจากการมองเห็นในระยะกระชั้นชิดมากเกินไป   จนไม่สามารถเบรกหยุดได้ทัน เนื่องจากความเร็วกับระยะการเบรกไม่สัมพันธ์กัน


 ดังนั้น ทุกครั้งที่ต้องขับรถกลางคืน ควรใช้ความเร็วให้สอดคล้องกับระยะไฟส่องสว่างข้างหน้า เช่น "ไฟต่ำ" ของรถนั่งส่วนบุคคลทั่วไปจะส่องสว่างประมาณไม่เกิน 60 เมตร หมายความว่าควรจะใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชั่วโมง เพราะหากเร็วมากกว่านั้นระยะเบรกจะเพิ่มขึ้น สำหรับกรณีที่ต้องการใช้ความเร็วมากกว่านั้น เพราะต้องการถึงจุดหมายปลายทางให้เร็ว แนะนำว่าให้ขับตามรถคันอื่นๆ ที่วิ่งเร็วกว่า หลักการตามรถคันอื่นๆ ควรเลือกขับตามรถที่ลักษณะเหมือนกัน รถเล็กไม่ควรขับตามรถใหญ่เพราะหากมีก้อนหิน หรือสิ่งกีดขวางรถใหญ่จะวิ่งผ่านไปได้ แต่รถเล็กจะไม่สามารถผ่านได้เนื่องจากระดับความสูง ขนาดเส้นรอบวงยางต่างกัน ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ เมื่อขณะขับไปบนท้องถนนและไม่มีรถคันอื่นๆ  วิ่งสวนทางมาหรือมีรถไม่มากก็สามารถเปิด "ไฟสูง" ซึ่งจะทำให้ระยะการมองเห็นยาวไกลขึ้น


แนวทางปฏิบัติในกรณีฉุกเฉิน


 ประเด็นเรื่องการเตรียมพร้อม ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ หากเตรียมพร้อมไว้ได้ก็จะเป็นการดี  เหตุฉุกเฉินเบื้องต้น เราอาจจะต้องการยาในกรณียาสามัญประจำรถ มีติดเอาไว้ก็ไม่เสียหาย ประเภทยาดม ยาทาแก้ปวด  ยาแดง ทิงเจอร์ การได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ จะได้รับการบรรเทา นอกจากนี้เราควรจะมีเบอร์โทรศัพท์ ประกันภัยสำคัญๆ เช่น หน่วยกู้ภัย ญาติพี่น้อง  ตำรวจทางหลวง (1193) เพื่อแจ้งเหตุ  สอบถามจราจรทางลัด ทางเลี่ยง อุบัติเหตุ กรณีมีความจำเป็นให้นึกถึงขั้นตอนง่ายๆ ถึงรายการที่จะต้องทำเมื่อได้รับอุบัติเหตุ ทั้งหมดคือการเตรียมพร้อมและหากทำได้พร้อมก็ไม่ต้องกังวลอะไรกับการเดินทางช่วงปีใหม่ ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ


นั่งขับและจับพวงมาลัยพื้นฐานขับขี่ปลอดภัย


  ปัจจุบันรถยนต์ได้ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เข้าไปในรถมากมาย แต่อุปกรณ์และเทคโนโลยีก็เป็นเพียงเครื่องบรรเทาความรุนแรงจากอุบัติเหตุ หรือไม่ก็ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น "ความปลอดภัย" จะเกิดก็ต่อเมื่อผู้ขับเองต้องเพิ่มทักษะของตัวเองและมีความรู้

ตำแหน่งการนั่งขับ


 การนั่งขับรถไม่ใช่เพียงเพื่อความสบายในการขับขี่เท่านั้น แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ท่านขับขี่อย่างปลอดภัยด้วย เพราะท่านั่งทำให้คนขับสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างทันที การนั่งที่ถูกต้อง ควรปรับระดับความสูงของเบาะให้สามารถมองเห็นถนนและด้านหน้าของรถ เหนือระดับพวงมาลัยได้อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน สายตาของผู้ขับ ต้องสามารถมองเห็นอุปกรณ์สำคัญๆ ภายในหน้าปัดของรถได้ด้วย


 การปรับระดับการนั่ง การนั่งที่ดีจะทำให้ลดการบาดเจ็บเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุสุดวิสัย ลองคว่ำฝ่ามือ แล้ววางส่วนข้อมือตรงส่วนบนสุดของพวงมาลัย (ตำแหน่ง 12 นาฬิกา) โดยที่ไหล่ของคุณยังคงชิดกับพนักพิง นี่คือการวัดระยะห่างของตัวเราจากพวงมาลัยที่ถูกต้อง ความสมบูรณ์ของการควบคุมพวงมาลัย คือสามารถเลี้ยวรถโดยมือไม่หลุดจากพวงมาลัย หลังติดเบาะ


 การนั่ง ต้องแน่ใจว่าส่วนบนของพนักพิงศีรษะอยู่ในระดับคิ้ว ซึ่งเป็นการปรับพนักพิงศีรษะที่ถูกต้อง จากนั้นลองเหยียบคลัทช์หรือเบรก (กรณีเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ) จนสุด ในขณะที่หลังต้องชิดกับเบาะ และมือของคุณอยู่ที่ ตำแหน่ง 9 และ 15 นาฬิกา ของพวงมาลัยโดยไม่ต้องเอี้ยวตัว แน่ใจได้เลยว่าเป็นตำแหน่งการนั่งในระยะที่ถูกต้อง


 ระยะการวางขา เป็นสิ่งสำคัญ ระยะที่ควรจะเป็นนั้น ให้ใช้หลังพิงพนักในขณะที่กดเท้าซ้ายลงไปเบาๆ บนแป้นเบรก หรือคลัทช์ ลำตัวผู้ขับจะต้องชิดกับพนักพิง ซึ่งตัวพนักพิงจะช่วยให้เกิดความมั่นคง เมื่อกดแป้นคลัทช์หรือเบรกจนสุด เข่าจะต้องอยู่ในลักษณะงอเล็กน้อย เพื่อช่วยลดการบาดเจ็บที่กระดูกเชิงกรานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ


เข็มขัดนิรภัย


 ในการขับขี่รถยนต์ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ เข็มขัดนิรภัย เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเมื่อคุณเบรกอย่างรุนแรง เข็มขัดจะช่วยยึดลำตัวของผู้ขับหรือรัดให้แน่นขึ้น เพื่อให้แผ่นหลังชิดกับพนักพิงโดยไม่หลุดออกไปหน้ารถ เข็มขัดนิรภัย ยังมีส่วนช่วยให้การนั่งขับมีความมั่นคง ส่งผลถึงการควบคุมพวงมาลัยได้อิสระเมื่อรถมีแรงเหวี่ยงโดยไม่ต้องฝืนตัวต้านแรง เพราะเข็มขัดจะรั้งให้ตำแหน่งการนั่งของคุณอยู่บนเก้าอี้อย่างมั่นคง


 1. เมื่อคาดเข็มขัด สายเข็มขัดควรจะแนบกับลำตัว (อย่าใช้อุปกรณ์เหนี่ยวรั้งอื่นๆ)

 2. ตรวจสอบเข็มขัดโดยการดึง และระวังอย่าให้เข็มขัดบิด

 3. ควรปรับระดับเข็มขัดตรงสะโพก เพื่อให้เข็มขัดพาดอยู่ตรงกลางกระดูกเชิงกราน

 4. คาดเข็มขัดนิรภัยก่อนติดเครื่องยนต์เสมอ

การเลือกใช้ยางเปอร์เซ็น

การซื้อยางรถยนต์มือสอง หรือยางเปอร์เซ็นต์ นั้นมีมานานแล้ว แต่ในขณะที่ปัจจุบันยางรถยนต์ใหม่มีราคาถูกลงและมีให้เลือกมามกมาย แต่ยางมือสอง ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่พอสมควร ด้วยราคาที่ค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับการซื้อยางใหม่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็สามารถได้ยางที่ดีสมรรถนะสูง แม้จะผ่านการใช้งานมาบ้างก็ตามที

                ยางเปอร์เซ็นต์ ที่ขายกันโดยมาก เป็นยางที่ผ่านมาการใช้งานแล้ว โดยคำว่า เปอร์เซ็นต์ เป็นคำแทนสภาพยางรถยนต์ที่ผ่านใช้งาน ยิ่งมีความสมบูรณ์มาก ก็ยิ่งมีราคาแพง บางเส้นอาจมีราคาเทียบเท่ายางใหม่ที่หาซื้อได้ทั่วไปเลยทีเดียว

                แม้จะมีราคาที่แพงแต่ยางมือสอง ก็เปรียบดังสินค้ามือสองทั่วไป คือมีสภาพที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว แถมยางมือสองที่ผ่านการใช้งานมาแล้วยังไม่ได้รับการเก็บรักษาที่ดี เหมือนยางมือหนึ่งทั่วไป ทำให้แม้ยางจะอยู่ในสภาพที่ดีแต่ก็อาจจะเสื่อมสภาพได้มากกว่าที่เราคิด


                ไม่เพียงเท่านี้ นอกจากยางเปอร์เซนต์จะผ่านสภาพการใช้งาน และการเก็บรักษายางที่เป็นไปตามสภาพทั่วไปแล้ว ยางรถยนต์มือสองบางเส้น ยังใกล้สิ้นสุดอายุการใช้งาน  ทั้งในแง่ของสภาพยางที่เหลือเนื้อยางใช้งานที่ต่ำกว่าที่ควร หรือไม่ ก็มีเนื้อยางที่เหมาะสมในการใช้งาน ไม่ว่าจะแตกลายงา  ร้าวหรือ ปริ หรือเป็นยางที่อายุเก่ามาก  แต่เรื่องนี้ก็ยังพอที่จะสามารถตรวจสอบได้จาก สัปดาห์ที่ผลิตของยางเส้นนั้นๆที่จะถูกระบุเป็น ตัวเลข 4 ตัว โดยแทนตัวด้วยสัปดาห์ที่ผลิตในเลข 2 ตัว แรก ส่วน 2 ตัว หลังคือปีที่ผลิต โดยระบุเป็น ค.ศ. เช่น 5202 หมายถึง ยางดังกล่าว ผลิตในสัปดาห์ที่ 52 ของ ปี 2002  เป็นต้น

วันจันทร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2557

เช็ก “กระจกหน้าต่างไฟฟ้า“ ไม่ทำงานเกิดจากอะไร


เช็ก “กระจกหน้าต่างไฟฟ้า“ ไม่ทำงาน

กิดจากอะไร


กระจกหน้าต่างแบบไฟฟ้าจะต้องอาศัยพลังงานทางไฟฟ้าในการทำงาน แตกต่างจากกระจกหน้าต่างใช้มือหมุน แต่กลไกการทำงานใกล้เคียงกัน กระจกหน้าต่างแบบไฟฟ้าจะมีสวิตช์การทำงานอยู่ที่ประตูและตำแหน่งผู้ขับขี่ ก็เท่ากับว่าผู้ขับขี่สามารถควบคุมและสั่งการได้จากสวิตช์ควบคุมตำแหน่งผู้ขับขี่ ไม่ว่าจะเป็นการล็อก, การปลดล็อกของประตู และรวมถึงกระจกหน้าต่างด้วย


     เมื่อกล่าวถึงกระจกหน้าต่างแบบไฟฟ้า เจ้าของรถหรือผู้ขับขี่ใช้รถยนต์เป็นประจำ ส่วนใหญ่ใช้งานกระจกหน้าต่างด้านผู้ขับขี่บ่อย ไม่ว่าจะเป็นการเปิดหน้าต่างพูดคุยกัน, การเข้าที่จอดรถขณะรับบัตร, การจ่ายค่าทางด่วน และอื่นๆ เมื่อเป็นเช่นนี้กระจกหน้าต่างบานอื่นแทบจะไม่ถูกใช้งานเลย


     ดังนั้น เมื่อต้องการให้ทำงาน อาจจะไม่ทำงานก็เป็นได้ เกิดจากสาเหตุอะไร ไม่มีใครรู้ถึงขั้นอารมณ์เสียก็มีไม่น้อย หากรถยนต์ของท่านยังอยู่ในระยะรับประกันก็แล้วไป ทางผู้ผลิต หรือศูนย์บริการรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว แต่ถ้าหมดระยะรับประกันสิ ทำอย่างไร ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยได้ใช้แต่กลับชำรุด แต่ข้างที่ใช้บ่อยไม่เป็นอะไร จุดนี้เองอาจทำให้มีปัญหาขึ้นได้ จริงอยู่การรับประกันตัวรถยนต์ได้ระบุไว้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาหรือระยะทางก็แล้วแต่ เป็นข้อกำหนดที่ตายตัวอยู่แล้วดังนั้น เพื่อป้องกันปัญหาลักษณะเช่นนี้ ท่านเจ้าของรถคงต้องตรวจสอบดูการทำงานของกระจกหน้าต่างแบบไฟฟ้าบ้าง โดยการเปิดปิดหน้าต่างด้านที่ไม่ค่อยได้ถูกใช้งาน เพื่อเป็นการกระตุ้นการทำงาน


     ส่วนสาเหตุส่วนใหญ่อาจมาจาก "ความชื้น" ที่เกิดขึ้นบริเวณประตูเวลาที่ล้างรถ หรือขับรถโดนฝน เพราะว่าน้ำสามารถไหลเข้าบริเวณประตูได้ผ่านทางคิ้วรีดน้ำกระจกหน้าต่างด้านนอกได้ เมื่อสะสมมากขึ้น ความชื้นบวกกับไม่มีการทำงานของมอเตอร์ยกกระจกบ้างเป็นครั้งคราว จึงทำให้เกิดการขัดข้องได้ ในเมื่อกระจกหน้าต่างไม่ทำงาน ลองใช้วิธีเปิดสวิตช์กุญแจไปตำแหน่ง ON หรือติดเครื่องยนต์ แล้วปลดล็อกกระจกหน้าต่าง (ชุดควบคุมด้านผู้ขับขี่) จากนั้นให้มาที่ประตูของหน้าต่างที่ไม่ทำงาน แล้วทุบ หรือเคาะบริเวณประตูโดยใช้แรงพอสมควร ระวังเรื่องการบุบของประตูหรือแผงประตูด้วย พร้อมกับการกดสวิตช์การทำงานของกระจกหน้าต่างไปพร้อมๆ กัน ถ้ามีการทำงานแล้วให้ทำการกดสวิตช์การทำงานของกระจกขึ้นลงอีก 2-3 รอบ แต่ถ้าหากไม่มีการทำงาน ให้นำรถเข้าศูนย์บริการ เพื่อแก้ไขต่อไป


วันพฤหัสบดีที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2557

เกียร์ออโต้ ขับอย่างไรให้ทนทาน

เกียร์ออโต้ ขับอย่างไรให้ทนทาน


 http://www.truck2hand.com/_upload/files/automatic_shifter.jpg

             ที่ผ่านมาเราได้เคยพุดถึงระบบเกียร์อัตโนมัติไปมาก ด้วยความใกล้ชิดกับคนเมืองอย่างที่การจราจร ทุกวันนี้ต่างคิดขัดสิ้นดี ทำให้หลายคนเริ่มหันมาคบระบบเกียร์ที่สะดวกสบายมากขึ้น เช่นเดียวกับที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเกียร์อัตโนมัติในปัจจุบันตอบสนองการขับขี่ได้ดีขึ้น มีศักยภาพมากขึ้นด้วย


                แม้เกียร์อัตโนมัติจะมีคุณสมบัติต่างๆที่ดีขึ้น แต่แง่หนึ่งที่หลายคนไม่เคยปฏิเสธได้คือ มันมีความทนทานน้อยกว่าระบบเกียร์ธรรมดา ซึ่งส่วนหนึ่งก็มาจากอายุการใช้งาน แต่ในอีกด้านการไม่เข้าใจ และขับขี่ไม่ถูกต้อง ก็เป็นต้นตอสำคัญที่ทำให้ระบบเกียร์เสียชีวิตก่อนวัยอันควร และนั่นหมายถึง คุณมีสิทธิ์ที่จะเจอค่าซ่อมมากโขอยู่เช่นกัน  แต่ทั้งหมด สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าคุณรู้จักวิธีการที่ทำให้มันทนทาน




  1.จำไว้เสมอเบรกก่อนเปลี่ยน หลายคนมักไม่ทราบว่าเกียร์อัตโนมัติควรจะทำการเหยียบเบรกก่อนเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์ โดยเฉพาะ จากตำแหน่งหยุดนิ่งสู่ตำแหน่งขับเคลื่อน ซึ่งการเหยียบเบรกนั้นจะช่วยให้ ระบบส่งกำลังไม่เกิดการกระชาก และการไม่กระชากก็หมายความถึงการที่ระบบเกียร์ทำงานอย่างลื่นไหล ซึ่งเป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงกันโดยตรงต่อการการสึกหรอของระบบเกียร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบเกียร์ใหม่ๆ อย่าง CVT  ซึ่งมีความเปราะบางทางด้านกลไกพอสมควร


                2.ขับสมูท ลดกระชาก ทุกวันนี้คนจำนวนมากเข้าใจผิดเกี่ยวกับระบบเกียร์อัตโนมัติ สูงมาก โดยเฉพาะ การใช้วิธีคิกดาวน์ แทบทุกครั้งที่ต้องการเร่งแซงหรือเมื่อต้องการกำลัง การคิกดาวน์ อาจจะเป็นโปรแกรมหนึ่งที่ทำหน้าที่ในการลดตำแหน่งเพื่อให้ได้อัตราเร่งที่ตอบสนองได้เร็วขึ้น ซึ่งอาจจะไม่ได้หมายถึงการสึกหรอโดยตรง แต่เมื่อคุณใช้มันบ่อย และการทำให้เกียร์มีรอบขับเคลื่อนสูง  อยู่ตลอดเวลาก็จะมีความร้อนสะสมในน้ำมันเกียร์ ซึ่งทำให้น้ำมันเสื่อมสภาพเร็ว และหมายถึง เกียร์จะเสื่อมสภาพตามนั่นเอง


                3.มองตำแหน่งอื่นๆ ทุกวันนี้ระบบเกียร์ไม่ได้มีแค่  P R N D เท่านั้น แต่บางครั้ง ยังมีออพชั่นต่างๆมาให้ ซึ่งออพชั่นต่างๆที่ออกมาสนองความต้องการนี้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อยืดอายุการใช้งานด้วย ลองหัดใช้พวกมันดูบ้าง  เช่น  S  อาจจะเป็นโหมดสปอร์ต แต่สามารถประยุกเพื่อใช้ขับทางชันโดย ที่รอบเครื่องยนต์ไม่สูงเกินไปนัก
 4. เหยียบเบรก ค้าง D  เสียมากกว่าดี ทุกวันนี้คนขับรถเกียร์อัตโนมัติ ส่วนใหญ่มองว่าการขับขี่เกียร์อัตโนมัติขับๆเบรกๆ ง่ายๆ สบายนี้ ทำให้หลายคนติดกับการใช้เบรก แม้รถจะติดต่อเนื่องเป็นเวลานาน ก็จะคงตำแหน่งที่เกียร์ D  ไว้แล้วเหยียบเบรกเอาไว้เพื่อ พร้อมใช้งานเมื่อรถเคลื่อนตัว


                ความจริงแล้วการทำดังกล่าวไม่ผิด แต่จะมีผลเสียในระยะยาวมากกว่า ต่อชิ้นส่วน โดยเฉพาะ ชุด torque Converter  ซึ่งทำหน้าที่รับกำลังจากเครื่องยนต์โดยตรง โดยด้านหนึ่งติดกับเครื่องยนต์ อีกด้านติดกับชุดเกียร์ ซึ่งการที่เราเบรก คือการที่เราหยุดรถไม่ให้เคลื่อนไปข้างหน้า แต่ในชุดเกียร์นั้นยังคงทำงาน และ จะมีแรงสะสมมาก ด้วยแรงดันน้ำมันที่หมุนวนตลอดเวลา  ซึ่งหมายถึงความร้อนที่มากขึ้นด้วย ดังนั้นทางที่ดี ควรจะปลดกับมาสู่เกียร์  N  เพื่อลดภาระนั้น โดยเฉพาะเมื่อรถติดนานกว่า  2  นาทีขึ้นไป



            5.ถอยหลังแล้วเดินหน้า อย่าทำ ทุกวันนี้อารมณ์สปอร์ต มักเข้าสิงห์หลายๆคน โดยเฉพาะการขับขี่ถอยหลัง ที่บางครั้งการเร่งรีบทำให้เราลืมหยุดสนิทแล้วปลดเกียร์เพื่อเดินหน้า แต่ใช้วิธีลัดโดยถอยหลังแล้วเดินหน้าเลยทันที การทำเช่นนั้น ไม่เคยมีผลดีต่อระบบเกียร์เลย เพราะ แรงที่หมุนสวนทางกันอย่างรุนแรง จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อชุดเฟือง สายพาน และ ลูกปืนต่างๆ และทำให้มีอายุสั้นลง ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือการทำอะไรตามขั้นตอนอย่าลัด เพราะ มันอาจจะสร้างความเสียหายได้มากกว่าที่คุณคิดเสียอีก


            ระบบเกียร์อัตโนมัติ แม้จะมีการขับขี่ที่ดี ง่าย แต่อย่าลืมว่าการใช้งานพวกมันอย่างถูกต้อง ก็เป็นเรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันในการยืดอายุการใช้งานของมัน รวมถึงการดูแลรักษาที่ต้องหมั่นจัดการเมื่อถึงเวลา ซึ่งจะช่วยให้เกียร์นั่นยู่กับคุณไปอีกยาวนาน


วันพุธที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2557

5 เรื่องต้องเช็ค ก่อนเดินทางไกล

5 เรื่องต้องเช็ค ก่อนเดินทางไกล


1.แบตเตอร์รี่   
                    เราอาจจะคิดว่าเราไม่ได้ใช้งานมันมากมายนัก แต่แบตเตอร์รี่เป็นสิ่งที่เราใช้งานแอย่างเป็นประจำแบบไม่คาดคิด ยิ่งกับใครที่ชอบฟังเครื่องเสียงดีๆบ่อยๆแล้สวมีโอกาสที่แบตเตอร์รี่จะกลับบ้านเก่าไว กว่าปกติ เช่นเดียวกับการใชงานที่น้อยบางครั้งก็ทำให้แบตเตอร์รี่เสื่อมสภาพได้เช่นกัน

             อาการแบตเตอร์รี่เสื่อมสภาพนั้นสามารถตรวจเช็คได้ง่าย สังเกตจากการสตาร์ทรถยนต์ในแต่ละครั้งดีที่สุด ซึ่งแบตเตอร์รี่ที่ดี ต้องเก็บประจุไฟได้ดี ทำให้มีแรงดันไฟฟ้าที่เพียงพอต่อการสตาร์ทรถอย่างง่ายดายกว่าแบตเตอ์รี่ที่เริ่มมีอาการเสื่อมถอย

2.ยาง 
                  เชื่อไหวว่าชีวิตของเรานั้นพึ่งอยู่กับยางรถยนต์มากกว่าที่คิด เพราะมันคือสิ่งที่ตัดสินความปลอดภัยในชีวิตทุกครั้งที่เราขับขี่ .. แม้หลายคนจะไม่ได้คิดถึงข้อนี้ แต่อย่างน้อยที่สุด คุณควรจะตรวจสอบยางก่อนเดินทางเพื่อให้รู้ว่าสภาพยางเป้นเช่นไรเหมาะสมต่อการขับขี่หรือไม่อย่างไร  โดยในเบื้องต้นเริ่มจากการเช็คลมยางของรถให้มีแรงดันเท่ากัน จากนั้นตรวจสอบเนื้อยางว่าเหลือมากน้อยเพียงใด โดยดูจากขีดกลางที่อยู่ระหว่างร่องยาง หรือ สะพานยางว่า เหลือมากน้อยเท่าใด หากเหลือน้อยหรือเท่ากับเส้นดังกลาง ควรจะเปลี่ยนยางก่อนเดินทาง เพื่อลดการสุ่มเสียงยางระเบิด โดยเฉพาะใครที่ขับด้วยความเร็วเป็นประจำ ควรหมั่นเช็คให้มั่นใจ


 3.เบรก 
               หลายครั้งที่เราพบว่า การเดินทางจบลงด้วยอุบัติเหตุเพียงเพราะ เราไม่ได้ดูแลรถยนต์ และเบรกก็มักเป็นจำเลยที่พบเป็นประจำเพียงแค่เราประมาท คิดว่าเบรกยังสามารถใช้งานได้ดีอยู่เลย

   ระบบเบรกคือสิ่งเดียวในรถที่ช่วยชีวิตคุณได้ และมันมีความสำคัญอย่างมากในการขับขี่ แม้เบรกจะทำงานได้ดีอยู่อย่างสม่ำเสมอ แต่เราก็ควรต้องตรวจสอบสม่ำเสมอ โดยสังเกตจากระดับน้ำมันเบรกว่าที่การเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หากมีการเปลี่ยนแปลง ควรรีบตรวจสอบโดยทันที และในกรณีที่เข้าขั้นวิกฤติคุณอาจจะพบว่าเบรกมีเสียงดังเวลาใช้งาน ซึ่งหมายถึงว่า เบรกคุณหมดแล้วนั่นเอง แต่ข้อหนึ่งที่ต้องนึกไว้กหากจะเปลี่ยนเบรกคือว่า เบรกนั้นต้องใช้เวลาในการรันอิน ซึ่งเราควรจะเตรียมการตั้งแต่เนิ่นๆ


 4.หม้อน้ำ
               ระบบระบายความร้อนนน่าจะเรียกว่าเป็นสิ่งที่เรานึกถึงน้อยที่สุดในการขับขี่ เลยก็ว่าได้ และเป็นระบบที่มีความเสี่ยงสูง เพราะกว่าเราจะรู้โดยมากก็ไม่พ้นความร้อนขึ้น จนอาจจะส่งผลถึงเครื่องยนต์พังคาถนนนเลยก็มีให้เห็น เรื่องอาการตัวร้อนนั้น แม้จะไม่มีทางทราบมาก่อน แต่ก็สามารถป้องกันได้ โดยการตรวจสอบที่พักน้ำสำรองว่ามีการพร่องหายหรือไม่ เช่นเดียวกับสภาพน้ำหล่อเย็นมีสภาพเป็นสนิมหรือไม่ ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพลดลง เช่นเดียวกับระบบพัดลมไฟฟ้า ควรตรวจสอบว่ามีการทำงานปกติหรือไม่ ด้วย และถ้าพบปัญหาก็ควรรีบแก้ไขโดยทันที



5.ระบบปรับอากาศ 
             แม้จะไม่ใช่ระบบที่สำคัญเกี่ยวข้องกับการการขับขี่รถยนต์โดยตรง แต่หากต้องเดินทางไกล คงจะไม่มีใครอยากจะเดินทางแบบเหงื่อตก และระบบปรับอากาศเป็นตัวช่วยสำคัญในการขับขี่  ที่ช่วยในการเดินทางไม่หงุดหงิดงุ่นง่าน การตรวจสอบระบบแอร์นั้น ทางที่ดีควรพึ่งผู้เชี่ยวชาญ แต่ถ้าคิดว่ารถเรายังมีความเย็นจากแอร์ที่รถยังดีอยู่ ก็ไม่ได้จำเป็นนักที่จะต้องเช็คอะไรให้ยุ่งยาก


                ความจริงการดูแลรถยนต์นั้นไม่ได้เป็นเรื่องยากอย่างที่คิดและคุณก็สามารถที่จะตรวจสอบเองได้ และเมื่อเรารู้ก่อนที่มันจะเสียหาย ก็ยังเป็นช่วยป้องกันค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้นได้หากได้รับความเสียหาย


วันจันทร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2557

สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม

สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม


1.การประจุไฟที่น้อยเกินควร Under Charging
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
- เกิดคราบขาวที่แผ่นธาตุของแบตเตอรี่ส่งผลให้ประจุไฟได้ยาก
- ทำให้แผ่นธาตุจะเสื่อมสภาพ

2.การประจุไฟที่มากเกินควร Over Charging
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
- น้ำกลั่นแปรสภาพเป็นแก๊สมากทำให้ระดับน้ำกลั่นลดลง
- อุณหภูมิสูงขึ้นมากทำให้แผ่นธาตุเสื่อม
- ทำให้ผงตะกั่วเกิดการสึกกร่อนจากแผ่นธาตุ
- แผ่นธาตุงอโค้ง
- ลดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่

3.การลัดวงจรในช่องแบตเตอรี่ Short Circuit
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
- เกิดตะกอนที่อยู่ส่วนล่างของหม้อแบตเตอรี่มากเกินไป
- เกิดจากการแตกหักหรือการเสื่อมสภาพของแผ่นกั้นระหว่างแผ่นธาตุบวก และแผ่นธาตุลบ

4.ปัญหาระบบไฟในรถ
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
- การติดเครื่องเสียง สัญญาณกันขโมย อุปกรณ์เสริมในรถเพิ่มเติม (ไฟไม่พอ)
- การเปลี่ยนแปลงขนาดของแบตเตอรี่
- การลัดวงจรของสวิทซ์ไฟต่างๆในรถ
- ประสิทธิภาพการทำงานของไดชาร์จไม่เต็มที่

5.การมีสารอันตรายปะปนในหม้อแบตเตอรี่ Impurity
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
- น้ำกรดไม่ได้คุณภาพ
- น้ำกลั่นที่เติมลงไปไม่บริสุทธิ์
- เติมน้ำกลั่นสี (สารหล่อเย็น) ลงไป

6.การเกิดซัลเฟต (Sulfation)
แผ่นธาตุที่มีผลึกซัลเฟตสีขาวเกาะติดอยู่ที่บริเวณแผ่นธาตุ เกิดจาก…..
- ปล่อยทิ้งแบตเตอรี่ไว้นานๆ โดยไม่นำไปใช้
- การประจุไฟที่น้อยเกินไป (Under Charging)
- แผ่นธาตุโผล่พ้นระดับน้ำกรด

การพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์

การพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์


ขั้นตอนที่ 1 – ใช้อุปกรณ์ที่เหมาะสมกับรถของคุณ

ก่อนอื่น เราต้องหารถอีกคันเพื่อทำการนี้ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่า จะมีใครที่ยอมให้เราพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ของเขา หรือไม่ และจะมีสายพ่วง แบตเตอรี่ที่เหมาะสมด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นที่ต้องมีสายพ่วงแบตเตอรี่ที่มีความยาวอย่างน้อย 10 ฟุต เตรียมพร้อมในรถคุณ เพื่อที่จะง่ายสำหรับพ่วงกับรถทุกประเภท

ขั้นตอนที่ 2 – แน่ใจว่าแบตเตอรี่ของคุณ พ่วงสายได้

หากแบตเตอรี่รถยนต์ของคุณได้รับความเสียหายก่อนที่จะทำการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ ไม่ต้องเสียเวลาทำเลย มีหลายวิธีในการตรวจดูว่า เสียหรือไม่ ถ้าแบตเตอรี่ของคุณมีฝาอยู่ ให้ลองดูว่าน้ำกลั่นแข็ง หรือไม่ หากแข็งก็ไม่ต้องดูอย่างอื่นแล้ว และคุณควรกระโดดถอยห่างไม่ต้องพ่วงแบตเตอรี่แล้ว และหากคุณพบรอยแตกที่แบตเตอรี่ เป็นเรื่องร้ายที่สุด และคุณก็ควรถอยห่างเช่นกัน

ขั้นตอนที่ 3 – ขั้นตอนก่อนการพ่วงสายแบตเตอรี่

หลังจากตรวจดูว่า เราจะทำการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์ได้ หรือไม่ ต้องตรวจเช่นกันว่าแบตเตอรี่ของรถคันอื่นมีกระแสไฟตรงกับรถคุณหรือไม่ด้วย มันอาจจะตรงกันแต่ตรวจสอบก่อนดีกว่า และควรดับเครื่องรถทั้งสองคันก่อนการพ่วงสายแบตเตอรี่

ขั้นตอน 4 – พ่วงสายแบตเตอรี่

ที่แบตเตอรี่แต่ละตัว จะมีขั้วโลหะสองขั้ว อันหนึ่งเป็นขั้วบวก (+) และอีกอันเป็นขั้วลบ (-) หนีบสายพ่วงที่เป็นขั้วบวกที่รถทั้งสองคันให้ตรงกัน จากนั้นหนีบสายพ่วงขั้วลบเข้ากับรถที่มีแบตเตอรี่เต็ม ส่วนอีกด้านต่อกับตัวถังรถของคันที่แบตเตอรี่หมด อย่าให้สายขั้วลบไปแตะกับแบตเตอรีที่หมดหรือตำแหน่งอื่นๆที่อยู่ใกล้กับ แบตเตอรี่

วันเสาร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2557

ทำไมยางรถยนต์ต้องเป็นสีดำ


ทำไมยางรถยนต์ต้องเป็นสีดำ

            เคยสงสัยกันบ้างมั้ยว่าทำไมยางรถยนต์ต้องเป็นสีดำเท่านั้น เป็นสีชมพู เขียว ฟ้าสะท้อนแสงบ้างไม่ได้หรือไง? ทำไมมีแต่ยางสีดำให้เราเลือกใช้ ดูซ้ำซากจำเจมานาน........

นั่นๆ อยากรู้กันแล้วล่ะสิ ถ้าอย่างงั้นเรามาหาคำตอบกันดีกว่า

http://www.truck2hand.com/_upload/files/tyres_main_pic.jpg

ถ้าให้ตอบกันแบบง่ายๆ ก็คือ สีดำนี่แหละเหมาะกับการใช้เป็นยางรถยนต์ที่สุดแล้ว 

เพราะสีดำทำให้ไม่เห็นรอยขีดข่วนได้ชัดเจน   เลอะเทอะเปรอะเปื้อนก็ดูไม่น่าเกลียด เมื่อเทียบกับสีอื่นๆ

 แต่ถ้าจะเอาคำตอบแบบยาก และถูกต้องตามหลักวิชาการแล้วละก็ เราคงต้องอธิบายลงลึกกันสักหน่อย

สาเหตุที่ยางรถยนต์ต้องเป็นสีดำนั้นก็คือ ในกระบวนการผลิต โรงงานผลิตยางรถยนต์จะเติมสาร "คาร์บอนแบล็ก" (Carbon Black) ลงไปผสมกับเนื้อยาง โดยคาร์บอนแบล็กไม่ใช่คาร์บอนในรูปทั่วๆ ไป เหมือนถ่านหุงข้าวหรือไส้ดินสอกด แต่คาร์บอนแบล็กนี้ได้มาจากกระบวนการเผากากสารเคมีที่เหลือจากโรงงานผลิตปิโตรเลียม ถึงจะเห็นว่าเป็นของเหลือใช้อย่างงี้ แต่โทษทีมันมีประโยชน์อย่างยิ่งกับการผลิตยางรถยนต์นะครับผม โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นดอกยาง ที่มีคาร์บอนแบล็กเป็นองค์ประกอบถึง 25%

ที่ยางต้องเป็นสีดำปิ๊ดปี๋อย่างงั้นก็เพราะมันต้องเผชิญกับสภาพที่โหดร้ายสารพัด ต่างๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นการเสียดสีกับพื้นถนนไม่รู้ว่ากี่หมื่นกิโลเมตรตลอดอายุการใช้งาน ไหนจะต้องเจอกับแสงแดดขณะจอดไว้กลางแจ้ง ซึ่งเจ้าคาร์บอนแบล็กนี่แหละที่จะช่วยยืดอายุการใช้งานให้กับยางเหล่านี้ ด้วยคุณสมบัติพิเศษของมันในการกระจายความร้อนที่เกิดขึ้นจากการเสียดสีระหว่างหน้ายางกับพื้นถนนไม่ให้เกิดความร้อน ณ จุดใดจุดหนึ่งมากเกินไป เมื่อความร้อนกระจายไปทั่วเนื้อยาง และค่อยๆ ปล่อยออกสู่อากาศภายนอก เนื้อยางก็จะทนทานนานปี ถึงตรงนี้เราคงรู้กันแล้วว่าทำไมยางรถยนต์ต้องเป็นสีดำ ไม่ใช่เพราะผู้ผลิตไม่คิดสร้างสรรค์ให้หลากหลาย แต่เป็นเพราะคิดมาแล้วว่ายางสีดำนี่แหละ สวย แกร่ง ทนทาน ปลอดภัย ต่อตัวรถและตัวคุณที่สุดแล้วต่างหาก...



http://www.truck2hand.com/_upload/files/aftersales_-_service_-_bmw_approved_tyres_hints_and_tips_-tyre_care.jpg

วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิธีดูแลรถเมื่อต้องจอดทิ้งไว้นานๆ

วิธีดูแลรถเมื่อต้องจอดทิ้งไว้นานๆ


1. ล้างรถให้สะอาด เพื่อไม่ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกเกาะอยู่ที่สีรถนานเกินไปจนยากที่จะล้างออก ดูดฝุ่นภายในรถและถอดซักพรมปูพื้นได้ด้วยยิ่งดี


2. จอดรถไว้ในที่ร่ม กันแดดกันฝนได้ และหาผ้าคลุมรถไว้ ไม่ควรจอดใกล้สถานที่ชื้นแฉะหรือใกล้ถังขยะเพราะอาจมีโอกาสที่หนูเข้ามาอาศัยหรือทำรังใต้กระโปรงรถ 


3. เติมลมยางให้แข็งกว่าปกติ การจอดรถทิ้งไว้นานๆ น้ำหนักที่กดทับอาจทำให้ยางเสียรูป ควรเติมลมยางให้มากกว่าปกติเพื่อให้มีลมมากพอที่จะรักษารูปทรงของโครงสร้างยางให้เป็นปกติได้มากที่สุด


4. ถอดแบตเตอรี่ออก เพื่อไม่ให้แบตหมด เนื่องจากรถยนต์จะยังคงดึงไฟจากแบตเตอรี่อยู่ตลอดเวลาแม้จะไม่ได้สตาร์ทเครื่อง (ควรศึกษาข้อมูลก่อนถอดแบตเตอรี่ออก)


5. เช็คระดับของเหลวในเครื่องยนต์ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำในหม้อน้ำ เพื่อหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ให้เกิดสนิม


6. หาคนมาสตาร์ทเครื่องให้สัปดาห์ละครั้ง (ถ้าเป็นไปได้) สตาร์ทเครื่องทิ้งไว้ 10-15 นาที หรือติดเครื่องเดินเบาสลับเหยียบคันเร่ง และเดินหน้าถอยหลังเพื่อเปลี่ยนจุดสัมผัสระหว่างยางกับพื้นถนน กรณีนี้ไม่ต้องถอดแบตออก



สิ่งที่ต้องตรวจเช็คก่อนจะนำรถกลับมาใช้อีก


1. แบตเตอรี่ หากสตาร์ทติดได้ดี หรือสตาร์ททีเดียวติดก็แสดงว่าแบตเตอรี่ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่ถ้าเป็นรถเก่าหรือมีปัญหาไฟรั่วอาจจะมีปัญหาสตาร์ทไม่ติด อาจต้องเข็นสตาร์ทหรือพ่วงแบตสตาร์ท


2. ระดับของเหลว ก่อนใช้รถควรเปิดฝากระโปรงเพื่อตรวจเช็คน้ำในหม้อน้ำ ระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก ว่าอยู่ในระดับปกติ มีการรั่วซึมหรือไม่ ถ้ามีรอยรั่วซึมควรเข้าศูนย์ไปตรวจเช็ค


3. ยาง ลมยางที่เพิ่มไว้อาจมีพร่องลงไปบ้างเล็กน้อย ปกติยางถ้าไม่ได้ใช้เฉลี่ยเดือนนึงอาจลดลงราว 1-2 ปอนด์ 


4. ระบบไฟ ทดลองเปิดไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟเบรกทำงานปกติไหม 


5. ยางปัดน้ำฝน ความร้อนที่สะสมอาจทำให้ยางเสื่อมสภาพหรือเสียรูปทรง ฉะนั้น หากพบว่าใบปัดเสื่อมสภาพ แตกร้าว กวาดน้ำได้ไม่เกลี้ยงเหมือนเดิม ก็คงต้องเปลี่ยนใหม่สถานเดียว

http://www.truck2hand.com/_upload/files/prepare-car-long-term-storage.jpg


วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คลัทซ์...ดาบสองคมของนักขับรถ

คลัทซ์...ดาบสองคมของนักขับรถ


                          ปัจจุบันนี้ผู้ขับรถรุ่นใหม่ทั้งหลายนิยมขับรถแบบเกียร์อัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่เนื่องด้วยความสะดวกและง่ายในการควบคุมรถ แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยนิยมขับเกียร์ธรรมดาเพราะขับสนุกกว่าหลายเท่า แต่ทั้งนี้จะต้องเหยียบคลัทซ์ควบคู่ด้วยเสมอไม่ว่าจะเป็นการเบารถ เหยียบเบรก เลี้ยวรถ แถมบางคนยังได้รับการบอกต่อๆกันมาว่าถ้ากลัวเครื่องยนต์ดับก็ให้เยียบคลัทซ์ไว้
      
      
       ในการไปสอบใบขับขี่จากทางราชการก็เช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่จะไม่ดูพฤติกรรมการัขบรถของผู้เข้าทดสอบในเรื่องการใช้คลัทซ์เลย ความจริงแล้ว"คลัทซ์"นั้นคือมหันตภัยที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุใหญ่หลวงหากผู้ขับใช้บ่อยอย่างพร่ำเพรื่อเกินไป การเหยียบคลัทซ์แล้วปล่อยให้รถวิ่งไปมีค่าเท่ากับปล่อยเกียร์ว่างเช่นเดียวกับที่เรียกว่า "Coasting"ในการสอบใบขับขี่สำหรับประเทศที่มาตรฐานสูงอย่างประเทศอังกฤษจะให้ผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้สอบตกทันที เกียร์ไปยังล้อรถยนต์ ขณะที่รถวิ่งและยังอยู่ในเกียร์แรงฉุดจากเครื่องยนต์จะถ่ายทอดกำลังไปกดที่ล้อรถเพื่อช่วยให้ล้อเกาะติดถกับพื้นถนน ดังนั้นในเมื่อขับรถอยู่หากผู้ขับไปเหยียบคลัทซ์เข้าไม่ว่าจะเป็นจากความเคยชินหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะทำให้แรงกดถนนจากเครื่องยนต์ถูกตัดขาดไป รถจะไม่เกาะถนน หากถนนลื่นหรือมีการหักเลี้ยวรถจะหมุนโดยทันทีโดยเฉพาะกับผู้ที่เคยชินกับการเบรกพร้อมกับเหยียบคลัทซ์ไปด้วยจะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าเร็วขึ้นเพราะแรงฉุดจากเครื่องยนต์ได้ถูกตัดขาดไป การเบรกก็จะยากขึ้นอีกเท่าตัว
      
       อุบัติเหตุทางรถยนต์ทุกวันนี้สาเหตุหนึ่งก็คือการใช้คลัทซ์เกินความจำเป็นนั่นเอง อาทิ จะเบรกก็เหยียบคลัทซ์ รถขึ้นเขา-เลี้ยงคัลทซ์ สิ่งเหล่านี้เรียกนี้ว่า "Coasting" จึงมีข้อแนะนำให้ผู้ใช้รถลองเปลี่ยนอุปนิสัยการใช้คลัทซ์ใหม่ อย่างเช่นลองเหยียบคลัทซ์ต่อเมื่อเปลี่ยนเกียร์หรือขับช้าเพื่อเข้าที่แคบๆเท่านั้นเอง หรืออีกแบบขณะที่ขับรถมามีเหตุให้ต้องเบารถก็เพียงแค่ยกคันเร่งรถก็จะเบาลง หากเมื่อยกคันเร่งแล้วความเร็วยังไม่ลดตามที่ต้องการก็ใช้เท้าขวาแตะเบรกเบาๆแต่ห้ามไปเหยียบคลัทซ์เป็นอันขาด
      
       พฤติกรรมแบบนี้ผู้ขับจะต้องฝึกบ่อยๆและสลัดของเก่าๆที่เคยชินออกไปเมื่อนั้นก็จะเป็นนักขับที่ถูกต้องลดอันตรายลงไปมาก เห็นไหมครับว่าคลัทซ์นั้นมีทั้งประโยชน์และโทษเท่าๆกัน เพียงแต่เราต้องใช้ให้ถูกวิธืเท่านั้นเอง..


 หากจำเป็นจะต้องหยุดรถโดยทันทีให้เหยียบเบรกลงไปอย่างแรงและไม่ต้องเหยียบคลัทซ์จนรถหยุดเกือบสนิทแล้วจึงเหยียบคลัทซ์พร้อมกับปลดเกียร์ว่าง ซึ่งการฝึกแบบนี้จะช่วยให้ควบคุมรถง่ายขึ้นไม่ปัดซ้ายขวาถึงแม้ถนนลื่น อย่างไรก็ตามควรระวังเท้าซ้ายเพราะเป็นเท้าที่เหยียบคลัทซ์เมื่อรถออกตัวเต็มที่ให้เอาเท้าซ้ายวางไว้ที่พื้น ไม่ต้องไปเหยียบคลัทซ์

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รู้จักกับแบตเตอรี่

รู้จักกับแบตเตอรี่  


                          แบตเตอรี่รถยนต์ ทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่างๆของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้ เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆอย่าง ด้วย เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุเครื่องเสียง เป็นต้น

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์


โครงสร้าง และส่วนประกอบของแบตเตอรี่ มีดังนี้


1.ขั้วแบตเตอรี่ ประกอบไปด้วยขั้ว (+) และขั้ว (-) ซึ่งขั้วของแบตเตอรี่นั้นทำมาจากตะกั่ว แท่งนั้นจะยาวประมาณ 8-10 นิ้ว(สูงกว่าตัวแบตเตอรี่เล็กน้อย)

2.เปลือก แบตเตอรี่ที่เห็นตามท้องตลาดทั่วไปจะมีอยู่ 2 ประเภทคือ เปลือกพลาสติก และเปลือกยางมะตอย ซึ่งแบตเตอรี่รถยนต์ส่วนมากจะใช้แบบเปลือกพลาสติก ซึ่งมีทั้งสีขาว และสีดำ ส่วนเปลือกยางมะตอยนั้นมักนิยมใช้กับเรือ หรือรถทหาร

3.ฝา ฝามีหน้าที่ปิดให้สนิท มิดชิดเพื่อป้องกันน้ำกรด ไม่ให้กระเด็นหรือหกออกมาจากแบตเตอรี่

4.จุก สำหรับแบตเตอรี่น้ำสามารถเปิด-ปิดได้ เพื่อเติมน้ำกลั่น แต่หากเป็นแบตเตอรี่แห้งบางชนิด จะไม่สามารถเปิดได้เลย

5.หูหิ้ว 

6.แผ่นธาตุ และแผ่นกั้น

   6.1 แผ่นธาตุขั้ว (+)

   6.2 แผ่นธาตุขั้ว (-)

   6.3 แผ่นกั้น(ชนวนกั้นแผ่นธาตุ)ทำหน้าที่ไม่ให้แผ่นธาตุขั้ว (+) และแผ่นธาตุขั้ว (-) ชนกันซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่ช็อต




วอร์มแบต ให้อุ่นใจ เครื่องสตาร์ทติดง่าย

วอร์มแบต ให้อุ่นใจ เครื่องสตาร์ทติดง่าย




การวอร์มแบตเตอรี่เครื่องยนต์ เป็นการกระตุ้นการทำงานของเครื่องยนต์ และตรวจเช็คสภาพความพร้อมระบบต่างๆ ของรถยนต์ เพราะเวลาอากาศเย็น ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์จะลดน้อยลง เพราะน้ำมันหล่อลื่นจะเกิดการจับตัวและมีความหนืดมาก ทำให้การขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ช้าลง ถ้าไม่ได้วอร์มแบตเตอรี่เครื่องยนต์อาจทำให้อุปกรณ์หรือชิ้นส่วนเกิดการสึกกร่อนได้ง่าย
“วอร์มแบต” ให้อุ่น “สตาร์ท” ปลอดภัย
     
       1. ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ควรเช็คระบบเกียร์ทุกครั้ง สำหรับระบบธรรมดา เกียร์ควรอยู่ในช่องเกียร์ว่าง ส่วนระบบเกียร์อัตโนมัติควรอยู่ที่ N หรือ P จากนั้นดึงเบรกมือไว้ เพื่อป้องกันการเคลื่อนของรถยนต์ขณะสตาร์ท
     
       2. ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถยนต์ทั้งหมด เช่น เครื่องปรับอากาศ, เครื่องเสียง และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่ต้องใช้ไฟจากแบตเตอรี่ เพื่อให้แบตเตอรี่มีกำลังไฟที่เพียงพอในการสตาร์ท
     
       3. บิดกุญแจไปยังตำแหน่ง ON เพื่อเช็คการทำงานของระบบต่างๆ รวมทั้งไฟสัญญาณเตือนบนแผงหน้าปัดทุกครั้ง ถ้าไม่มีสัญญาณไฟเตือน จึงค่อยๆ สตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อวอร์มเครื่องยนต์และชาร์จประจุไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่
     
       4. การวอร์มเครื่องยนต์ทุกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงวิธีการเหยียบคันเร่งหรือเคลื่อนที่รถยนต์ ควรใช้วิธีสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้เครื่องยนต์และอุปกรณ์ยานยนต์ต่างๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้น
     
       5. หลีกเลี่ยงการวอร์มเครื่องยนต์ในสถานที่ปิด หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก เพราะจะทำให้เกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ซึ่งมีอันตรายต่อร่างกาย
       ช่วงระยะทาง 1-2 กิโลเมตรแรกในการยขับรถยนต์ ไม่ควรขับรถเร็วเกินไป เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของน้ำมันหล่อลื่น

       การวอร์มเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ก่อนการขับรถยนต์ เป็นการกระตุ้นหรือเพิ่มอุณหภูมิให้เครื่องยนต์อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน และเป็นการรักษาอุปกรณ์ยานยนต์ไม่ให้เกิดการสึกกร่อนก่อนเวลาอันควร นอกจากนี้ ควรเช็คระบบการทำงานของเครื่องยนต์ ทั้งระบบไฟส่องทาง, ไฟสัญญาณ ล้อยางและลมยาง หรือส่วนสำคัญส่วนอื่นๆ รวมทั้ง ‘แบตเตอรี’ ก่อนการขับรถทุกครั้งเพื่ความมั่นใจและปลอดภัยตลอดทุกเส้นทาง


อะไหล่รถยนต์:แท้ เทียบ เทียม ปลอม เลือกกันอย่างไรดี

อะไหล่รถยนต์:แท้ เทียบ เทียม ปลอม 

เลือกกันอย่างไรดี 


  เมื่อถึงกำหนดการซ่อมบำรุงรถยนต์ ผู้ที่ใช้รถที่ยังอยู่ในระยะประกันของทางบริษัทก็จำเป็นต้องเข้าใช้บริการที่ศูนย์บริการ ในส่วนของรถยนต์ที่พ้นกำหนดการรับประกันของบริษัท ผู้ใช้รถส่วนใหญ่จะประสบกับปัญหาการตัดสินใจว่าจะเลือกใช้บริการที่ศูนย์บริการของรถยี่ห้อนั้นๆหรือจะใช้บริการตามศูนย์บริการอิสระหรืออู่ทั่วไป

การใช้บริการที่ศูนย์บริการของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆน่าจะสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้รถได้มากที่สุดเนื่องจากการอบรมทางเทคนิคและเครื่องมือเฉพาะรวมถึงการสนับสนุนด้านต่างๆจากบริษัทแม่ อย่างไรก็ตามการใช้บริการที่ศูนย์บริการจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้บริการตามศูนย์บริการอิสระหรืออู่ทั่วๆไปในขณะที่คุณภาพงานซ่อมก็ไม่ใช่ว่าจะเหนือกว่าศูนย์บริการอิสระเสมอไป เนื่องจากช่างที่ชำนาญงานมีประสบการณ์มากพอมักจะหาลู่ทางออกมาเปิดอู่เองทำให้คุณภาพงานซ่อมได้มาตรฐานระดับเดียวกับศูนย์บริการ อย่างไรก็ตามการใช้บริการที่ศูนย์บริการอิสระหรืออู่นอก ผู้ใช้รถก็มักจะประสบปัญหาการเลือกใช้อะไหล่ว่าจะใช้อะไหล่แท้ เทียบ เทียมหรือปลอมว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรทั้งด้านราคาและคุณภาพ

ในการผลิตรถยนต์  บริษัทรถยนต์จะจ้างบริษัทที่มีความชำนาญการผลิตอะไหล่ส่วนต่างๆเพื่อผลิตอะไหล่ส่งให้แก่บริษัท เช่น ผ้าดิสเบรก ถ้าเป็นรถญี่ปุ่น ผ้าดิสเบรกติดรถส่วนใหญ่จะเป็นยี่ห้อ AKEBONO  หรือถ้าเป็นรถยุโรป ผ้าดิสเบรกติดรถส่วนใหญ่จะเป็น ATE’  นอกจากการผลิตอะไหล่ส่งให้แก่บริษัทรถยนต์ บริษัทเหล่านี้ยังได้ผลิตสินค้าออกขายในแบรนด์ของตนเองด้วย  ดังนั้นผมจะแบ่งประเภทของอะไหล่ตามนี้

1.อะไหล่แท้  คืออะไหล่จากบริษัทรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ  คุณภาพตามมาตรฐานของบริษัท ส่วนมากจะราคาสูงที่สุด

2.อะไหล่เทียบ คืออะไหล่ที่สามารถใช้ร่วมกันได้กับรถยนต์หลายยี่ห้อ เช่น ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์หัวฉีด ( ปั๊มติ๊กในถัง ) ของรถญี่ปุ่นและรถเกาหลีส่วนใหญ่จะมีลักษณะและขนาดเท่ากันทำให้ใช้แทนกันได้ แต่อะไหล่แท้บางยี่ห้อแพง เราก็สามารถเลือกยี่ห้อถูกกว่ามาใช้แทนได้ คุณภาพก็จัดอยู่ในระดับอะไหล่แท้

3.อะไหล่เทียม คือ อะไหล่ที่ผลิตโดยโรงงานผลิตอะไหล่ออกมาขายในยี่ห้อของตนเอง ระดับคุณภาพจะมีทั้งคุณภาพต่ำ คุณภาพเทียบเท่าอะไหล่แท้และคุณภาพสูงกว่าอะไหล่แท้
อะไหล่เหล่านี้บางส่วนจะผลิตโดยโรงงานที่เป็นหรือเคยเป็นผู้ผลิตอะไหล่ส่งให้แก่บริษัทรถยนต์  สินค้าเหล่านี้จะเป็นสินค้าตัวเดียวกับอะไหล่แท้เลย แต่เมื่อโรรงานเอาออกมาขายอาจจะต้องลบตราแท้บนสินค้านั้นๆออก ตัวอย่างเช่นชุดแม่ปั๊มเบรก-คลัทช์สำหรับรถยนต์ญี่ปุ่นยี่ห้อ SEIKEN  หรือพวกหวีคลัทช์-ผ้าคลัทช์รถญี่ปุ่นจะมี 2 ยี่ห้อหลักคือ AISIN กับ DAIKIN หรือEXEDY ยี่ห้อเหล่านี้เป็นอะไหล่แท้ OEM หลายรุ่นราคาห่างจากอะไหล่แท้กันเป็นเท่าตัว สินค้าแบบนี้ส่วนใหญ่จะขายในราคาต่ำกว่าอะไหล่แท้เนื่องจากไม่ต้องผ่านการบวกกำไรอีกทอดหนึ่งโดยบริษัทรถยนต์

อะไหล่บางส่วนผลิตโดยโรงงานที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตอะไหล่ส่งให้แก่บริษัทรถยนต์ คือสินค้าอัพเกรดต่างๆ เช่น ช็อคอับ คอยล์สปริง ผ้าเบรก เป็นต้น สินค้าเหล่านี้ส่วนมากมีคุณภาพและราคาสูงกว่าอะไหล่แท้

อะไหล่เทียมบางส่วนวางระดับสินค้าอยู่ในระดับต่ำด้วยข้อจำกัดเรื่องราคาและเทคโนโลยีทำให้คุณภาพก็จะต่ำกว่าอะไหล่แท้

4. อะไหล่ปลอม ผลิตโดยโรงงานเล็กๆที่ขาดความสามารถในการแข่งขันกับสินค้ายี่ห้ออื่นๆจึงใช้วิธีปลอมสินค้าที่ติดตลาดได้รับการยอบรับจากลูกค้า อะไหล่ปลอมจะมีทั้งการเลียบแบบอะไหล่แท้และอะไหล่ทดแทนยี่ห้อดังๆ เช่น ไส้กรองต่างๆ  กลุ่มลูกหมากช่วงล่างรถญี่ปุ่น ที่พบบ่อยจะเป็นยี่ห้อ 555 หรือผ้าดิสเบรก AKEBONO เป็นต้น


การเลือกใช้อะไหล่เกรดไหนขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละท่านว่ามีงบประมาณและต้องการคุณภาพมาก-น้อยแค่ไหน  สำหรับผม ถ้าเป็นอะไหล่ที่เกี่ยวกับภายในเครื่องยนต์และคุณภาพของมันมีผลต่อความเสียหายอื่นๆ เช่น สายพานไทมิ่งนี่ผมใช้อะไหล่แท้ครับเพราะสายพานไทมิ่งแท้โดยเฉพาะรถญี่ปุ่น สเป็คของมันจะต่างจากสายพานไทมิ่ง OEM แม้ว่าจะผลิตมาจากโรงานเดียวกัน ทางโรงงานก็ยังระบุระยะเวลารับประกันไม่เท่าอะไหล่แท้  ประมาณ 5-80,000 กม.เท่านั้น  ส่วนรอกตั้งสายพานไทมิ่งเลือกใช้ยี่ห้อที่คุ้นหู เช่น รถญี่ปุ่นจะใช้ยี่ห้อ NSK KOYO NTN เป็นหลัก ส่วนรถยุโรปจะเป็น SKF  FAG  TIMKEN เป็นต้น  รอกยี่ห้อเหล่านี้คุณภาพมาตรฐานเท่าแท้ คุณใช้อะไหล่ตามนี้จะได้คุณภาพเท่าอะไหล่แท้ศูนย์ในราคาที่ประหยัดที่สุด

ในส่วนของระบบขับเคลื่อน เช่น ผ้าคลัทช์ หวีคลัทช์ รถญี่ปุ่นเลือกใช้ยี่ห้อAISIN หรือ DAIKIN ราคาชุดคลัทช์แท้ของรถกระบะประมาณ 5,500-6,500บาทแล้วแต่รุ่นและยี่ห้อ ถ้าคุณเลือกยี่ห้อ AISIN หรือ DAIKIN ราคาอะไหล่ทั้งชุดพร้อมลูกปืนคลัทช์+ลูกปืนฟลายวิลล์สำหรับรถกระบะเครื่อง 2.5 ลิตรราคาไม่เกิน  3 พันบาทครับ  ถ้าเป็นรถยุโรป ชุดยกคลัทช์จะเป็นยี่ห้อ SACHSหรือ LUK ราคาชุดละ 4-5 พันบาท ถ้าเป็นอะไหล่แท้ก็บวกขึ้นไปอีก 40-50 %ครับ

ส่วนอะไหล่ช่วงล่าง สำหรับรถญี่ปุ่น พวกลูกหมากก็สามารถใช้ยี่ห้อ 555 แท้ได้ หากเป็นรถยุโรปก็พิจารณายี่ห้อ TRW หรือ LEMFORDER คุณภาพใกล้เคียงอะไหล่แท้ ราคาประหยัดกว่า พวกบูชยางต่างๆใช้ยี่ห้อ RBI หรือ JAPAก็ได้ อายุการใช้งานไม่เท่าอะไหล่แท้แต่ประหยัดกว่าเยอะ  อะไหล่บางรุ่น ยกขายอาร์มซึ่งเป็นการเปลี่ยนอะไหล่ที่สิ้นเปลืองเกินความจำเป็น

ช็อคอับแท้เป็นอะไหล่ที่สมรรถนะไม่สูงสุด  เนื่องจาการเซ็ทช่วงล่างของรถยนต์ทั่วๆไปมักจะคำนึงถึงความนิ่มนั่งสบาย และด้วยข้อจำกัดเรื่องต้นทุนการผลิตช็อคอับ ทำให้รถยนต์เดิมๆจากโรงงานถูกลดสมรรถนะลง ดังนั้นเมื่อคุณจะเปลี่ยนช็อคอับ  ผมแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องใช้ช็อคอับแท้ครับ ส่วนจะเลือกอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความต้องการเรื่องสมรรถนะและงบประมาณของแต่ละท่าน  ช็อคอับในตลาดอะไหล่ทดแทนมีให้เลือกเยอะครับ

ผ้าเบรกก็คล้ายกับช็อคอับคืออะไหล่แท้สามารถตอบสนองการใช้งานได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น  ถ้าคุณรู้ตัวว่าเป็นคนขับรถเร็ว มีโอกาสได้ใช้เบรกที่ความเร็วสูงบ่อยๆ ผ้าเบรกแท้ย่อมไม่สามารถตอบสนองการใช้งานแบบนี้ได้ ดังนั้นคุณจึงต้องเลือกใช้ผ้าเบรกเกรดเฮฟวี่ดิวตี้เพิ่อคุณสมบัติการทนความร้อนสูงขึ้น