ร้านประเสริฐยนต์ ยินดีต้อนรับ
Animated Cool Shiny Blue Pointer Animated Cool Shiny Blue Pointer

วันศุกร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

วิธีดูแลรถเมื่อต้องจอดทิ้งไว้นานๆ

วิธีดูแลรถเมื่อต้องจอดทิ้งไว้นานๆ


1. ล้างรถให้สะอาด เพื่อไม่ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกเกาะอยู่ที่สีรถนานเกินไปจนยากที่จะล้างออก ดูดฝุ่นภายในรถและถอดซักพรมปูพื้นได้ด้วยยิ่งดี


2. จอดรถไว้ในที่ร่ม กันแดดกันฝนได้ และหาผ้าคลุมรถไว้ ไม่ควรจอดใกล้สถานที่ชื้นแฉะหรือใกล้ถังขยะเพราะอาจมีโอกาสที่หนูเข้ามาอาศัยหรือทำรังใต้กระโปรงรถ 


3. เติมลมยางให้แข็งกว่าปกติ การจอดรถทิ้งไว้นานๆ น้ำหนักที่กดทับอาจทำให้ยางเสียรูป ควรเติมลมยางให้มากกว่าปกติเพื่อให้มีลมมากพอที่จะรักษารูปทรงของโครงสร้างยางให้เป็นปกติได้มากที่สุด


4. ถอดแบตเตอรี่ออก เพื่อไม่ให้แบตหมด เนื่องจากรถยนต์จะยังคงดึงไฟจากแบตเตอรี่อยู่ตลอดเวลาแม้จะไม่ได้สตาร์ทเครื่อง (ควรศึกษาข้อมูลก่อนถอดแบตเตอรี่ออก)


5. เช็คระดับของเหลวในเครื่องยนต์ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำในหม้อน้ำ เพื่อหล่อเลี้ยงชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ให้เกิดสนิม


6. หาคนมาสตาร์ทเครื่องให้สัปดาห์ละครั้ง (ถ้าเป็นไปได้) สตาร์ทเครื่องทิ้งไว้ 10-15 นาที หรือติดเครื่องเดินเบาสลับเหยียบคันเร่ง และเดินหน้าถอยหลังเพื่อเปลี่ยนจุดสัมผัสระหว่างยางกับพื้นถนน กรณีนี้ไม่ต้องถอดแบตออก



สิ่งที่ต้องตรวจเช็คก่อนจะนำรถกลับมาใช้อีก


1. แบตเตอรี่ หากสตาร์ทติดได้ดี หรือสตาร์ททีเดียวติดก็แสดงว่าแบตเตอรี่ยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ แต่ถ้าเป็นรถเก่าหรือมีปัญหาไฟรั่วอาจจะมีปัญหาสตาร์ทไม่ติด อาจต้องเข็นสตาร์ทหรือพ่วงแบตสตาร์ท


2. ระดับของเหลว ก่อนใช้รถควรเปิดฝากระโปรงเพื่อตรวจเช็คน้ำในหม้อน้ำ ระดับน้ำมันเครื่อง น้ำมันเบรก ว่าอยู่ในระดับปกติ มีการรั่วซึมหรือไม่ ถ้ามีรอยรั่วซึมควรเข้าศูนย์ไปตรวจเช็ค


3. ยาง ลมยางที่เพิ่มไว้อาจมีพร่องลงไปบ้างเล็กน้อย ปกติยางถ้าไม่ได้ใช้เฉลี่ยเดือนนึงอาจลดลงราว 1-2 ปอนด์ 


4. ระบบไฟ ทดลองเปิดไฟหน้า ไฟเลี้ยว ไฟเบรกทำงานปกติไหม 


5. ยางปัดน้ำฝน ความร้อนที่สะสมอาจทำให้ยางเสื่อมสภาพหรือเสียรูปทรง ฉะนั้น หากพบว่าใบปัดเสื่อมสภาพ แตกร้าว กวาดน้ำได้ไม่เกลี้ยงเหมือนเดิม ก็คงต้องเปลี่ยนใหม่สถานเดียว

http://www.truck2hand.com/_upload/files/prepare-car-long-term-storage.jpg


วันพฤหัสบดีที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

คลัทซ์...ดาบสองคมของนักขับรถ

คลัทซ์...ดาบสองคมของนักขับรถ


                          ปัจจุบันนี้ผู้ขับรถรุ่นใหม่ทั้งหลายนิยมขับรถแบบเกียร์อัตโนมัติเป็นส่วนใหญ่เนื่องด้วยความสะดวกและง่ายในการควบคุมรถ แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยนิยมขับเกียร์ธรรมดาเพราะขับสนุกกว่าหลายเท่า แต่ทั้งนี้จะต้องเหยียบคลัทซ์ควบคู่ด้วยเสมอไม่ว่าจะเป็นการเบารถ เหยียบเบรก เลี้ยวรถ แถมบางคนยังได้รับการบอกต่อๆกันมาว่าถ้ากลัวเครื่องยนต์ดับก็ให้เยียบคลัทซ์ไว้
      
      
       ในการไปสอบใบขับขี่จากทางราชการก็เช่นเดียวกัน เจ้าหน้าที่จะไม่ดูพฤติกรรมการัขบรถของผู้เข้าทดสอบในเรื่องการใช้คลัทซ์เลย ความจริงแล้ว"คลัทซ์"นั้นคือมหันตภัยที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุใหญ่หลวงหากผู้ขับใช้บ่อยอย่างพร่ำเพรื่อเกินไป การเหยียบคลัทซ์แล้วปล่อยให้รถวิ่งไปมีค่าเท่ากับปล่อยเกียร์ว่างเช่นเดียวกับที่เรียกว่า "Coasting"ในการสอบใบขับขี่สำหรับประเทศที่มาตรฐานสูงอย่างประเทศอังกฤษจะให้ผู้ที่มีพฤติกรรมแบบนี้สอบตกทันที เกียร์ไปยังล้อรถยนต์ ขณะที่รถวิ่งและยังอยู่ในเกียร์แรงฉุดจากเครื่องยนต์จะถ่ายทอดกำลังไปกดที่ล้อรถเพื่อช่วยให้ล้อเกาะติดถกับพื้นถนน ดังนั้นในเมื่อขับรถอยู่หากผู้ขับไปเหยียบคลัทซ์เข้าไม่ว่าจะเป็นจากความเคยชินหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์จะทำให้แรงกดถนนจากเครื่องยนต์ถูกตัดขาดไป รถจะไม่เกาะถนน หากถนนลื่นหรือมีการหักเลี้ยวรถจะหมุนโดยทันทีโดยเฉพาะกับผู้ที่เคยชินกับการเบรกพร้อมกับเหยียบคลัทซ์ไปด้วยจะทำให้รถพุ่งไปข้างหน้าเร็วขึ้นเพราะแรงฉุดจากเครื่องยนต์ได้ถูกตัดขาดไป การเบรกก็จะยากขึ้นอีกเท่าตัว
      
       อุบัติเหตุทางรถยนต์ทุกวันนี้สาเหตุหนึ่งก็คือการใช้คลัทซ์เกินความจำเป็นนั่นเอง อาทิ จะเบรกก็เหยียบคลัทซ์ รถขึ้นเขา-เลี้ยงคัลทซ์ สิ่งเหล่านี้เรียกนี้ว่า "Coasting" จึงมีข้อแนะนำให้ผู้ใช้รถลองเปลี่ยนอุปนิสัยการใช้คลัทซ์ใหม่ อย่างเช่นลองเหยียบคลัทซ์ต่อเมื่อเปลี่ยนเกียร์หรือขับช้าเพื่อเข้าที่แคบๆเท่านั้นเอง หรืออีกแบบขณะที่ขับรถมามีเหตุให้ต้องเบารถก็เพียงแค่ยกคันเร่งรถก็จะเบาลง หากเมื่อยกคันเร่งแล้วความเร็วยังไม่ลดตามที่ต้องการก็ใช้เท้าขวาแตะเบรกเบาๆแต่ห้ามไปเหยียบคลัทซ์เป็นอันขาด
      
       พฤติกรรมแบบนี้ผู้ขับจะต้องฝึกบ่อยๆและสลัดของเก่าๆที่เคยชินออกไปเมื่อนั้นก็จะเป็นนักขับที่ถูกต้องลดอันตรายลงไปมาก เห็นไหมครับว่าคลัทซ์นั้นมีทั้งประโยชน์และโทษเท่าๆกัน เพียงแต่เราต้องใช้ให้ถูกวิธืเท่านั้นเอง..


 หากจำเป็นจะต้องหยุดรถโดยทันทีให้เหยียบเบรกลงไปอย่างแรงและไม่ต้องเหยียบคลัทซ์จนรถหยุดเกือบสนิทแล้วจึงเหยียบคลัทซ์พร้อมกับปลดเกียร์ว่าง ซึ่งการฝึกแบบนี้จะช่วยให้ควบคุมรถง่ายขึ้นไม่ปัดซ้ายขวาถึงแม้ถนนลื่น อย่างไรก็ตามควรระวังเท้าซ้ายเพราะเป็นเท้าที่เหยียบคลัทซ์เมื่อรถออกตัวเต็มที่ให้เอาเท้าซ้ายวางไว้ที่พื้น ไม่ต้องไปเหยียบคลัทซ์

วันพุธที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

รู้จักกับแบตเตอรี่

รู้จักกับแบตเตอรี่  


                          แบตเตอรี่รถยนต์ ทำหน้าที่ป้อนกระแสไฟฟ้าให้อุปกรณ์ต่างๆของเครื่องยนต์เพื่อให้ทำงานได้ เช่น มอเตอร์สตาร์ท ระบบจุดระเบิด ในขณะที่สตาร์ทรถยนต์ นอกจากนี้ยังทำหน้าที่ป้อนพลังงานให้กับอุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายๆอย่าง ด้วย เช่น ระบบไฟส่องสว่าง วิทยุเครื่องเสียง เป็นต้น

ประกันภัยรถยนต์,ประกันรถยนต์,ประกันชั้น1,โบรกเกอร์,ประกันชั้น2,ประกันชั้น2พลัส,ประกันชั้น3,ประกันชั้น3พลัส,ต่อประกันรถยนต์,broker,ประกันรถเก๋ง,ประกันรถกระบะ,ประกันรถยนต์ชั้น1,ชั้น2พลัส,3พลัส,บริษัทประกันภัยรถยนต์,ประกันรถกะบะ,พรบ.รถยนต์


โครงสร้าง และส่วนประกอบของแบตเตอรี่ มีดังนี้


1.ขั้วแบตเตอรี่ ประกอบไปด้วยขั้ว (+) และขั้ว (-) ซึ่งขั้วของแบตเตอรี่นั้นทำมาจากตะกั่ว แท่งนั้นจะยาวประมาณ 8-10 นิ้ว(สูงกว่าตัวแบตเตอรี่เล็กน้อย)

2.เปลือก แบตเตอรี่ที่เห็นตามท้องตลาดทั่วไปจะมีอยู่ 2 ประเภทคือ เปลือกพลาสติก และเปลือกยางมะตอย ซึ่งแบตเตอรี่รถยนต์ส่วนมากจะใช้แบบเปลือกพลาสติก ซึ่งมีทั้งสีขาว และสีดำ ส่วนเปลือกยางมะตอยนั้นมักนิยมใช้กับเรือ หรือรถทหาร

3.ฝา ฝามีหน้าที่ปิดให้สนิท มิดชิดเพื่อป้องกันน้ำกรด ไม่ให้กระเด็นหรือหกออกมาจากแบตเตอรี่

4.จุก สำหรับแบตเตอรี่น้ำสามารถเปิด-ปิดได้ เพื่อเติมน้ำกลั่น แต่หากเป็นแบตเตอรี่แห้งบางชนิด จะไม่สามารถเปิดได้เลย

5.หูหิ้ว 

6.แผ่นธาตุ และแผ่นกั้น

   6.1 แผ่นธาตุขั้ว (+)

   6.2 แผ่นธาตุขั้ว (-)

   6.3 แผ่นกั้น(ชนวนกั้นแผ่นธาตุ)ทำหน้าที่ไม่ให้แผ่นธาตุขั้ว (+) และแผ่นธาตุขั้ว (-) ชนกันซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่ช็อต




วอร์มแบต ให้อุ่นใจ เครื่องสตาร์ทติดง่าย

วอร์มแบต ให้อุ่นใจ เครื่องสตาร์ทติดง่าย




การวอร์มแบตเตอรี่เครื่องยนต์ เป็นการกระตุ้นการทำงานของเครื่องยนต์ และตรวจเช็คสภาพความพร้อมระบบต่างๆ ของรถยนต์ เพราะเวลาอากาศเย็น ประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องยนต์จะลดน้อยลง เพราะน้ำมันหล่อลื่นจะเกิดการจับตัวและมีความหนืดมาก ทำให้การขับเคลื่อนของเครื่องยนต์ช้าลง ถ้าไม่ได้วอร์มแบตเตอรี่เครื่องยนต์อาจทำให้อุปกรณ์หรือชิ้นส่วนเกิดการสึกกร่อนได้ง่าย
“วอร์มแบต” ให้อุ่น “สตาร์ท” ปลอดภัย
     
       1. ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ควรเช็คระบบเกียร์ทุกครั้ง สำหรับระบบธรรมดา เกียร์ควรอยู่ในช่องเกียร์ว่าง ส่วนระบบเกียร์อัตโนมัติควรอยู่ที่ N หรือ P จากนั้นดึงเบรกมือไว้ เพื่อป้องกันการเคลื่อนของรถยนต์ขณะสตาร์ท
     
       2. ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าภายในรถยนต์ทั้งหมด เช่น เครื่องปรับอากาศ, เครื่องเสียง และอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ที่ต้องใช้ไฟจากแบตเตอรี่ เพื่อให้แบตเตอรี่มีกำลังไฟที่เพียงพอในการสตาร์ท
     
       3. บิดกุญแจไปยังตำแหน่ง ON เพื่อเช็คการทำงานของระบบต่างๆ รวมทั้งไฟสัญญาณเตือนบนแผงหน้าปัดทุกครั้ง ถ้าไม่มีสัญญาณไฟเตือน จึงค่อยๆ สตาร์ทเครื่องยนต์ เพื่อวอร์มเครื่องยนต์และชาร์จประจุไฟฟ้ากลับเข้าแบตเตอรี่
     
       4. การวอร์มเครื่องยนต์ทุกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงวิธีการเหยียบคันเร่งหรือเคลื่อนที่รถยนต์ ควรใช้วิธีสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 2-3 นาที เพื่อให้เครื่องยนต์และอุปกรณ์ยานยนต์ต่างๆ มีอุณหภูมิสูงขึ้น
     
       5. หลีกเลี่ยงการวอร์มเครื่องยนต์ในสถานที่ปิด หรืออากาศถ่ายเทไม่สะดวก เพราะจะทำให้เกิดการสะสมของก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ ซึ่งมีอันตรายต่อร่างกาย
       ช่วงระยะทาง 1-2 กิโลเมตรแรกในการยขับรถยนต์ ไม่ควรขับรถเร็วเกินไป เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของน้ำมันหล่อลื่น

       การวอร์มเครื่องยนต์และแบตเตอรี่ก่อนการขับรถยนต์ เป็นการกระตุ้นหรือเพิ่มอุณหภูมิให้เครื่องยนต์อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน และเป็นการรักษาอุปกรณ์ยานยนต์ไม่ให้เกิดการสึกกร่อนก่อนเวลาอันควร นอกจากนี้ ควรเช็คระบบการทำงานของเครื่องยนต์ ทั้งระบบไฟส่องทาง, ไฟสัญญาณ ล้อยางและลมยาง หรือส่วนสำคัญส่วนอื่นๆ รวมทั้ง ‘แบตเตอรี’ ก่อนการขับรถทุกครั้งเพื่ความมั่นใจและปลอดภัยตลอดทุกเส้นทาง


อะไหล่รถยนต์:แท้ เทียบ เทียม ปลอม เลือกกันอย่างไรดี

อะไหล่รถยนต์:แท้ เทียบ เทียม ปลอม 

เลือกกันอย่างไรดี 


  เมื่อถึงกำหนดการซ่อมบำรุงรถยนต์ ผู้ที่ใช้รถที่ยังอยู่ในระยะประกันของทางบริษัทก็จำเป็นต้องเข้าใช้บริการที่ศูนย์บริการ ในส่วนของรถยนต์ที่พ้นกำหนดการรับประกันของบริษัท ผู้ใช้รถส่วนใหญ่จะประสบกับปัญหาการตัดสินใจว่าจะเลือกใช้บริการที่ศูนย์บริการของรถยี่ห้อนั้นๆหรือจะใช้บริการตามศูนย์บริการอิสระหรืออู่ทั่วไป

การใช้บริการที่ศูนย์บริการของรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆน่าจะสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ใช้รถได้มากที่สุดเนื่องจากการอบรมทางเทคนิคและเครื่องมือเฉพาะรวมถึงการสนับสนุนด้านต่างๆจากบริษัทแม่ อย่างไรก็ตามการใช้บริการที่ศูนย์บริการจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้บริการตามศูนย์บริการอิสระหรืออู่ทั่วๆไปในขณะที่คุณภาพงานซ่อมก็ไม่ใช่ว่าจะเหนือกว่าศูนย์บริการอิสระเสมอไป เนื่องจากช่างที่ชำนาญงานมีประสบการณ์มากพอมักจะหาลู่ทางออกมาเปิดอู่เองทำให้คุณภาพงานซ่อมได้มาตรฐานระดับเดียวกับศูนย์บริการ อย่างไรก็ตามการใช้บริการที่ศูนย์บริการอิสระหรืออู่นอก ผู้ใช้รถก็มักจะประสบปัญหาการเลือกใช้อะไหล่ว่าจะใช้อะไหล่แท้ เทียบ เทียมหรือปลอมว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรทั้งด้านราคาและคุณภาพ

ในการผลิตรถยนต์  บริษัทรถยนต์จะจ้างบริษัทที่มีความชำนาญการผลิตอะไหล่ส่วนต่างๆเพื่อผลิตอะไหล่ส่งให้แก่บริษัท เช่น ผ้าดิสเบรก ถ้าเป็นรถญี่ปุ่น ผ้าดิสเบรกติดรถส่วนใหญ่จะเป็นยี่ห้อ AKEBONO  หรือถ้าเป็นรถยุโรป ผ้าดิสเบรกติดรถส่วนใหญ่จะเป็น ATE’  นอกจากการผลิตอะไหล่ส่งให้แก่บริษัทรถยนต์ บริษัทเหล่านี้ยังได้ผลิตสินค้าออกขายในแบรนด์ของตนเองด้วย  ดังนั้นผมจะแบ่งประเภทของอะไหล่ตามนี้

1.อะไหล่แท้  คืออะไหล่จากบริษัทรถยนต์ยี่ห้อนั้นๆ  คุณภาพตามมาตรฐานของบริษัท ส่วนมากจะราคาสูงที่สุด

2.อะไหล่เทียบ คืออะไหล่ที่สามารถใช้ร่วมกันได้กับรถยนต์หลายยี่ห้อ เช่น ปั๊มน้ำมันเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องยนต์หัวฉีด ( ปั๊มติ๊กในถัง ) ของรถญี่ปุ่นและรถเกาหลีส่วนใหญ่จะมีลักษณะและขนาดเท่ากันทำให้ใช้แทนกันได้ แต่อะไหล่แท้บางยี่ห้อแพง เราก็สามารถเลือกยี่ห้อถูกกว่ามาใช้แทนได้ คุณภาพก็จัดอยู่ในระดับอะไหล่แท้

3.อะไหล่เทียม คือ อะไหล่ที่ผลิตโดยโรงงานผลิตอะไหล่ออกมาขายในยี่ห้อของตนเอง ระดับคุณภาพจะมีทั้งคุณภาพต่ำ คุณภาพเทียบเท่าอะไหล่แท้และคุณภาพสูงกว่าอะไหล่แท้
อะไหล่เหล่านี้บางส่วนจะผลิตโดยโรงงานที่เป็นหรือเคยเป็นผู้ผลิตอะไหล่ส่งให้แก่บริษัทรถยนต์  สินค้าเหล่านี้จะเป็นสินค้าตัวเดียวกับอะไหล่แท้เลย แต่เมื่อโรรงานเอาออกมาขายอาจจะต้องลบตราแท้บนสินค้านั้นๆออก ตัวอย่างเช่นชุดแม่ปั๊มเบรก-คลัทช์สำหรับรถยนต์ญี่ปุ่นยี่ห้อ SEIKEN  หรือพวกหวีคลัทช์-ผ้าคลัทช์รถญี่ปุ่นจะมี 2 ยี่ห้อหลักคือ AISIN กับ DAIKIN หรือEXEDY ยี่ห้อเหล่านี้เป็นอะไหล่แท้ OEM หลายรุ่นราคาห่างจากอะไหล่แท้กันเป็นเท่าตัว สินค้าแบบนี้ส่วนใหญ่จะขายในราคาต่ำกว่าอะไหล่แท้เนื่องจากไม่ต้องผ่านการบวกกำไรอีกทอดหนึ่งโดยบริษัทรถยนต์

อะไหล่บางส่วนผลิตโดยโรงงานที่ไม่ได้เป็นผู้ผลิตอะไหล่ส่งให้แก่บริษัทรถยนต์ คือสินค้าอัพเกรดต่างๆ เช่น ช็อคอับ คอยล์สปริง ผ้าเบรก เป็นต้น สินค้าเหล่านี้ส่วนมากมีคุณภาพและราคาสูงกว่าอะไหล่แท้

อะไหล่เทียมบางส่วนวางระดับสินค้าอยู่ในระดับต่ำด้วยข้อจำกัดเรื่องราคาและเทคโนโลยีทำให้คุณภาพก็จะต่ำกว่าอะไหล่แท้

4. อะไหล่ปลอม ผลิตโดยโรงงานเล็กๆที่ขาดความสามารถในการแข่งขันกับสินค้ายี่ห้ออื่นๆจึงใช้วิธีปลอมสินค้าที่ติดตลาดได้รับการยอบรับจากลูกค้า อะไหล่ปลอมจะมีทั้งการเลียบแบบอะไหล่แท้และอะไหล่ทดแทนยี่ห้อดังๆ เช่น ไส้กรองต่างๆ  กลุ่มลูกหมากช่วงล่างรถญี่ปุ่น ที่พบบ่อยจะเป็นยี่ห้อ 555 หรือผ้าดิสเบรก AKEBONO เป็นต้น


การเลือกใช้อะไหล่เกรดไหนขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแต่ละท่านว่ามีงบประมาณและต้องการคุณภาพมาก-น้อยแค่ไหน  สำหรับผม ถ้าเป็นอะไหล่ที่เกี่ยวกับภายในเครื่องยนต์และคุณภาพของมันมีผลต่อความเสียหายอื่นๆ เช่น สายพานไทมิ่งนี่ผมใช้อะไหล่แท้ครับเพราะสายพานไทมิ่งแท้โดยเฉพาะรถญี่ปุ่น สเป็คของมันจะต่างจากสายพานไทมิ่ง OEM แม้ว่าจะผลิตมาจากโรงานเดียวกัน ทางโรงงานก็ยังระบุระยะเวลารับประกันไม่เท่าอะไหล่แท้  ประมาณ 5-80,000 กม.เท่านั้น  ส่วนรอกตั้งสายพานไทมิ่งเลือกใช้ยี่ห้อที่คุ้นหู เช่น รถญี่ปุ่นจะใช้ยี่ห้อ NSK KOYO NTN เป็นหลัก ส่วนรถยุโรปจะเป็น SKF  FAG  TIMKEN เป็นต้น  รอกยี่ห้อเหล่านี้คุณภาพมาตรฐานเท่าแท้ คุณใช้อะไหล่ตามนี้จะได้คุณภาพเท่าอะไหล่แท้ศูนย์ในราคาที่ประหยัดที่สุด

ในส่วนของระบบขับเคลื่อน เช่น ผ้าคลัทช์ หวีคลัทช์ รถญี่ปุ่นเลือกใช้ยี่ห้อAISIN หรือ DAIKIN ราคาชุดคลัทช์แท้ของรถกระบะประมาณ 5,500-6,500บาทแล้วแต่รุ่นและยี่ห้อ ถ้าคุณเลือกยี่ห้อ AISIN หรือ DAIKIN ราคาอะไหล่ทั้งชุดพร้อมลูกปืนคลัทช์+ลูกปืนฟลายวิลล์สำหรับรถกระบะเครื่อง 2.5 ลิตรราคาไม่เกิน  3 พันบาทครับ  ถ้าเป็นรถยุโรป ชุดยกคลัทช์จะเป็นยี่ห้อ SACHSหรือ LUK ราคาชุดละ 4-5 พันบาท ถ้าเป็นอะไหล่แท้ก็บวกขึ้นไปอีก 40-50 %ครับ

ส่วนอะไหล่ช่วงล่าง สำหรับรถญี่ปุ่น พวกลูกหมากก็สามารถใช้ยี่ห้อ 555 แท้ได้ หากเป็นรถยุโรปก็พิจารณายี่ห้อ TRW หรือ LEMFORDER คุณภาพใกล้เคียงอะไหล่แท้ ราคาประหยัดกว่า พวกบูชยางต่างๆใช้ยี่ห้อ RBI หรือ JAPAก็ได้ อายุการใช้งานไม่เท่าอะไหล่แท้แต่ประหยัดกว่าเยอะ  อะไหล่บางรุ่น ยกขายอาร์มซึ่งเป็นการเปลี่ยนอะไหล่ที่สิ้นเปลืองเกินความจำเป็น

ช็อคอับแท้เป็นอะไหล่ที่สมรรถนะไม่สูงสุด  เนื่องจาการเซ็ทช่วงล่างของรถยนต์ทั่วๆไปมักจะคำนึงถึงความนิ่มนั่งสบาย และด้วยข้อจำกัดเรื่องต้นทุนการผลิตช็อคอับ ทำให้รถยนต์เดิมๆจากโรงงานถูกลดสมรรถนะลง ดังนั้นเมื่อคุณจะเปลี่ยนช็อคอับ  ผมแนะนำว่าไม่จำเป็นต้องใช้ช็อคอับแท้ครับ ส่วนจะเลือกอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับความต้องการเรื่องสมรรถนะและงบประมาณของแต่ละท่าน  ช็อคอับในตลาดอะไหล่ทดแทนมีให้เลือกเยอะครับ

ผ้าเบรกก็คล้ายกับช็อคอับคืออะไหล่แท้สามารถตอบสนองการใช้งานได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น  ถ้าคุณรู้ตัวว่าเป็นคนขับรถเร็ว มีโอกาสได้ใช้เบรกที่ความเร็วสูงบ่อยๆ ผ้าเบรกแท้ย่อมไม่สามารถตอบสนองการใช้งานแบบนี้ได้ ดังนั้นคุณจึงต้องเลือกใช้ผ้าเบรกเกรดเฮฟวี่ดิวตี้เพิ่อคุณสมบัติการทนความร้อนสูงขึ้น