ร้านประเสริฐยนต์ ยินดีต้อนรับ
Animated Cool Shiny Blue Pointer Animated Cool Shiny Blue Pointer

วันเสาร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

เทคนิค-5-ข้อขับเกียร์ออโต้ให้ประหยัด

             ปัจจุบันนี้ รถยนต์ส่วนใหญ่บนท้องถนนมักใช้เกียร์อัตโนมัติกันทั้งนั้น เนื่องจากความง่ายและสะดวกสบายในการขับขี่ แต่เกียร์อัตโนมัติส่วนมากยังคงมีอัตราสิ้นเปลืองด้อยกว่าเกียร์ธรรมดา เราจึงมาแนะนำ 5 เทคนิคขับรถยนต์เกียร์อัตโนมัติให้ประหยัดน้ำมันแบบง่ายๆกัน รับรองว่าถ้าปฏิบัติได้ตามนี้ รถของคุณจะประหยัดขึ้นอย่างแน่นอน



 1. ออกตัวเบาๆไม่ต้องรีบ

     เป็นที่รู้กันว่าการจราจรในกรุงเทพมหานคร ไม่เอื้ออำนวยให้ใช้ความเร็วเท่าใดนัก พ้นไฟแดงหนึ่งก็ไปติดอีกไฟแดงหนึ่งอยู่ดี ฉะนั้นจึงไม่มีความจำเป็นต้องเร่งเครื่องยนต์อย่างรุนแรง เนื่องจากเกียร์ออโต้จะค่อยๆเปลี่ยนอัตราทดตามรอบเครื่องยนต์อยู่แล้ว การฝึกแตะคันเร่งเบาๆจะช่วยให้ประหยัดขึ้นได้มาก สังเกตได้จากเกียร์เปลี่ยนอัตราทดที่รอบต่ำเท่าไหร่ ก็จะประหยัดเพิ่มขึ้นเท่านั้น

     2. ขยับนิดหน่อย Walking Speed ก็พอ

     หากขับขี่ท่ามกลางสภาวะจราจรที่ติดขัดนั้น หากรถสามารถเคลื่อนตัวได้ทีละนิดๆ ก็ใช้วิธีปล่อยเบรคให้รถค่อยๆเคลื่อนไปอย่างช้าๆก็พอ โดยปกติความเร็วเมื่อปล่อยเบรค (ขณะใส่เกียร์ D) จะค่อยๆขึ้นไปแตะระดับ 10 กม./ชม.ได้สบายๆ ไม่จำเป็นต้องเหยียบคันเร่งก็ไม่ต้องเหยียบ ประหยัดได้อีกเยอะ

 3. หลีกเลี่ยงการคิกดาวน์

     การคิกดาวน์ คือ การเหยียบคันเร่งให้หนักขึ้นกว่าปกติ เพื่อให้ลดระดับเกียร์ลงมา ซึ่งจำเป็นกับการเร่งแซงเพื่อให้หนีพ้นสถานการณ์คับขัน แต่การขับขี่ตามจราจรปกติมักไม่ต้องการอัตราเร่งขนาดนั้น ฉะนั้นผู้ขับจึงควรหลีกเลี่ยงการคิกดาวน์พร่ำเพรื่อบ่อยๆ เพราะเท่ากับเป็นการซดน้ำมันอย่างมากเลยทีเดียว

     4. เบรคน้อยลง ประหยัดขึ้นเยอะ

     การเหยียบเบรคนั้น อาจไม่มีผลโดยตรงต่อการกินน้ำมัน แต่หากเราชะลอความเร็วลงแล้ว ก็คงจำเป็นจะต้องเติมคันเร่งเพื่อให้รถกลับไปยังความเร็วปกติอีกครั้ง ซึ่งส่งผลต่อการกินน้ำมัน ทางที่ดีจึงควรค่อยๆขับไปตามสภาพการจราจรดีกว่า การเว้นระยะคันหน้าอย่างเหมาะสม ก็จะช่วยลดการเหยียบเบรคได้เป็นอย่างดี แถมยังลดความใจร้อนของผู้ขับได้อีกด้วย ไม่เชื่อลองดูสิ!

     5. เกียร์ออโต้ไม่ได้มีแค่ P R N D นะ

     แม้ว่าจะเป็นเกียร์อัตโนมัติ แต่ผู้ขับก็ยังควรเลือกตำแหน่งเกียร์ให้เหมาะสมต่อการใช้งานขณะนั้น โดยเกียร์อัตโนมัติในปัจจุบันจะมีสัญลักษณ์ +, - หรือตัวเลข 3-2-1 หรือตัวอักษร S, L ตามแต่ผู้ผลิตจะกำหนดมา ซึ่งตำแหน่งต่างๆเหล่านี้ มีประโยชน์อย่างมากเมื่อยามขับรถขึ้นเนินหรือลงเนิน รวมไปถึงการช่วยชะลอความเร็ว ทางที่ดีผู้ขับจึงควรศึกษาคู่มือการใช้รถเพื่อให้ตำแหน่งเกียร์เหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ เช่น การใช้ตำแหน่งเกียร์ L ในการขับรถขึ้นเขา จะทำให้ตัวรถมีกำลังเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ช่วยประหยัดเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นด้วย

     คำแนะนำที่กล่าวมาเบื้องต้นนั้น จะเห็นได้ว่าการขับขี่รถยนต์ให้ประหยัดขึ้น ต้องอาศัยการขับขี่ที่ไม่รีบร้อน ใช้ความเร็วช้าลง ซึ่งสำหรับบางคนแล้วอาจจำเป็นต้องฝึกให้ชิน ซึ่งหากเราไม่มีความจำเป็นต้องรีบร้อนเดินทางขนาดนั้นแล้วล่ะก็ คำแนะนำเหล่านี้จะช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นการช่วยถนอมเครื่องยนต์และเกียร์ได้อย่างดีอีกด้วย

วันศุกร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557

4 คำถามน่าคิดเมื่อต้องซ่อมรถคันเก่า


ในยุคที่ข้าวยากหมากแพงเช่นนี้ เรารู้ดีว่าหลายคนมีภาระมากมาย แม้ปัจจุบันรถยนต์จะกลายเป็นปัจจัยที่ 5 ในการเดินทางของคนไทย แต่วันนี้ถ้าคุณมีรถแล้วมันเกิดไม่สบาย การซ่อมมันกลับมาใช้ มั่นใจแค่ไหนว่ามันจะคุ้มค่า


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่หลายคนไม่คิด ซึ่งส่วนหนึ่งมันมาจากลูกเกรงใจของคนไทย ที่มักจะเออออห่อหมก โดยไม่คิดก่อนที่จะทำอะไร ทำให้บางครั้งกลายเป็นปัญหา แทนที่จะได้รถเก่าแสนดีมาใช้งานแบบเสียเงินครั้งเดียวแล้วลาจากช่างที่อู่กลับกลายต้องเวียนว่ายไปทุกวัน วันนี้ถ้าคุณกำลัง มีปัญหาใหญ่กับรถคันเก่าสุดเก๋า ลองคิดตาม 4 ข้อ ต่อไปนี้ ว่าซ่อมแล้วมันจะคุ้มค่าหรือไม่

1.ปัญหานี้แก้ได้หายขาดหรือไม่ ปัญหามากมายสามารถเกิดขึ้นได้กับรถเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกกลไกต่างๆที่ทุกอย่างมีอายุการใช้งานของมันเอง จนบางครั้งคุณต้องตกระกำลำบาก(นั่งทานข้าวลิงข้างทาง)อาจจะมาจากอายุการใช้งาน


ปัญหาของรถนั้นมีหลายสาเหตุ ที่คุณสามารถเข้าใจได้แต่ที่สำคัญ คุณต้องรู้ว่ามันจะซ่อมให้หายขาดได้หรือไม่ด้วย โดยเฉพาะเมื่อเสียเงินแล้ว ต้องเสียให้คุ้มกับการใช้งานในอนาคตข้างหน้า อย่างเช่นเครื่องพัง การยกเครื่องใหม่อาจเป็นทางออกที่ดีกว่า หรือเป็นไปได้ลองศึกษาดูว่ามีอะไหล่รถรุ่นไหนสามารถทดแทนกันได้หรือไม่ แล้วลองคิดตามว่าถ้าทำมันจะหายจากอาการที่เป็นหรือเปล่า ซึ่งส่วนหนึ่งต้องปรึกษาผู้รู้ที่ไม่ใช่ช่างที่คุณนำรถไปซ่อม


2. ราคาค่าใช้จ่าย ทุกครั้งที่รถเสียมันหมายถึงเงิน และในยุคนี้มันก็หายากเสียด้วย ซึ่งคุณจำเป็นต้องศึกษาดูถึงค่าใช้จ่ายในการซ่อม ว่าราคานี้เป็นราคาที่รับได้หรือไม่ อะไรที่จะถูกเปลี่ยนใหม่ อะไรที่จะยังใช้ของเก่า ของแบบนี้ต้องศึกษาให้ดี ที่สำคัญอย่าวางใจให้อู่ทำงานแล้วเช็คบิลทีหลังอู่ที่ได้มาตรฐานจะประมาณการงบประมาณได้ก่อนทำงาน ซึ่งตรงนี้อาจจะประวิงเวลาให้คุณคิดก่อนตัดสินใจซ่อมแซมรถสุดที่รัก และพยายามสอบถามจากผู้ใช้รถรุ่นเดียวกันกับคุณหรือเพื่อนที่เคยมีประสบการณ์ ว่าราคาที่ได้มาสมเหตุผลหรือไม่

3. ผลที่ตามมาหลังซ่อม ในข้อแรกเราให้คุณถามว่าหายขาดหรือไม่ แน่นอนบางอย่างสามารถทำได้แล้วหายเป็นปลิดทิ้งแถมดีกว่าเสียอีก แต่ข้อหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือว่า เมื่อมีงานแปลงบางอย่างอาจไม่เป็นไปอย่างที่คิด และบางครั้งอาจนำมาซึ่งค่าใช้จ่ายภายหลัง เช่น วางเครื่อง คุณอาจต้องเซทช่วงล่างเพิ่ม เพราะน้ำหนักเครื่องมากกว่าที่ช่วงล่างจะรับได้ เป็นต้น ซึ่งเรื่องแบบนี้อู่มักไม่บอก แต่เมื่อคุณทำการดัดแปลงไปแล้วรถคันนั้นจะราคาตกทันที เพราะฉะนั้นควรคิดรอบคอบถึงผลระยะยาวด้วย



4. คันนี้ใช้คุ้มพอรึยัง หลายคนมักจะคิดว่าตัวเองยังใช้รถไม่คุ้มค่า ที่บางคนรถหลาย 10 ปี ก็ซ่อมแล้วซ่อมอีก จนสุดท้ายเหนื่อยซ่อมนำไปสู่การขายทิ้งซื้อใหม่ในอนาคตอันใกล้อีกอยู่ดี แน่นอนเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาแล้วมากมาย เราเลยอยากให้มองว่ารถคันนี้คุ้มทุนแล้วหรือยัง โดยเฉพาะ ถ้ารถคันนั้นมีอายุ เกิน 7 ปี หรือมีระยะทางเกิน 1.5 แสนกิโลเมตร มันอาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนรถใหม่

หลายคนมักคิดว่าเพิ่งผ่อนหมดจบหนี้ทำไมต้องเร่งให้ซื้อรถใหม่ ทว่ารถเก่าก็เหมือนคนแก่ ที่ต้องได้รับการดูแลเป็นประจำสม่ำเสมอในทุกชิ้นส่วน และยิ่งถ้าคุณเป็นคนไม่ค่อยมีเวลาหรือไม่ค่อยถนัดเกี่ยวกับรถยนต์นัก การนำมันไปแลกเปลี่ยนคันใหม่มาขับแบบสบายใจ แล้วคิดว่าไม่ต้องมีปัญหาวุ่นวายกับอู่ ที่อาจทดแทนด้วยค่าผ่อนรถรายเดือน มันน่าจะคุ้มกว่าไหม แถมรถใหม่ๆยังมีสมรรถนะที่ดีขึ้นและประหยัดมากขึ้นด้วย



4 ข้อนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้หนักมากๆ โดยเฉพาะเมื่อรถคุณต้องซ่อมหนัก ไม่ว่าจะระบบเครื่องยนต์หรืออื่นๆที่จะทำให้รถคันนั้นอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ซึ่งนอกจากคุณจะไม่ต้องเสียเวลา วิ่งเข้า-ออกอู่ให้วุ่นวายและรถใหม่ๆประหยัดมากขึ้นแล้ว คุณยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นจากสมรรถนะที่ดีขึ้นของรถคันใหม่


ขับปลอดภัยขจัดภัยอุบัติเหตุ


"ขับดี มีน้ำใจ ภัยไม่มี" เป็นเพียงคำกล่าวที่หยิบยกขึ้นมารณรงค์ แต่ความรู้ที่ช่วยให้ปลอดภัยอย่างแท้จริงเรายังต้องเสาะหา การขับรถดีอาจไม่สามารถบอกต่อให้คนรุ่นหลังได้ครบถ้วน ทำให้หลายคนมีวิธีการปฏิบัติและมีเนื้อหาแตกต่างกัน บางคนใช้วิธีการบอกด้วยความคิด ความรู้สึก ความเข้าใจของตน มิได้มีข้อมูลที่ถูกต้องตรงกัน สิ่งนี้เองเป็นต้นเหตุของความสูญเสีย
บ่อยครั้งที่มีรายงาน การเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์เรามักจะได้ยินสาเหตุของการชนกันว่ามาจาก ความประมาท ความมึนเมา มีรถตัดหน้า คันหน้าจอดกะทันหัน ทั้งหมดที่กล่าวมาคือ เหตุเบื้องต้น  ยังไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดอุบัติเหตุ  และยิ่งเป็นอันตรายมากขึ้นไปอีก หากนำวิธีแก้ไขแบบผิดๆ ไปเผยแพร่หรือแนะนำการขับแบบตามๆ กันมา


   เหมือนการฉีดยาพิษให้ผู้ขับรถ  วิธีปฏิบัติผิดๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยๆ เช่น  สอนให้เมื่อขับผ่านสี่แยก ถ้าต้องการตรงไปข้างหน้าแล้ว ต้องเปิดไฟฉุกเฉิน ฝนตก เปิดไฟฉุกเฉิน ทุกเทศกาล ปัญหาการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ เป็นเรื่องใหญ่ ยังดีปีนี้นายกรัฐมนตรี ออกมาตื่นตัวเป็นคนแรกๆ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้คนขับรถต้องระวังมากขึ้น  ในสัปดาห์สุดท้ายของปีเรานำเสนอเทคนิคเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ และหวังว่าทุกท่านจะปลอดภัยเมื่อต้องขับรถเดินทางไกล


  การเตรียมตัวก่อนออกเดินทาง (Pre -Trip Preparation)


 ก่อนจะใช้รถ ใกล้ไกลควรจะมีเวลาสำหรับการเตรียมความพร้อม  แม้การเดินทางระยะทางใกล้ๆ การเตรียมรถก็ควรฝึกให้เป็นนิสัย เราควรตรวจสิ่งต่างๆ เช่น ตัวเราเอง


 ร่างกาย ต้องพร้อมพักผ่อนให้เพียงพอ และหากเหนื่อยล้า หรือง่วงนอนระหว่างทาง ควรเปลี่ยนมือ ถ้าไม่มีใครเปลี่ยน ควรพักผ่อน และพยายามอย่ามุ่งมั่นไปที่ปลายทางเพียงอย่างเดียว ควรแวะพักเป็นระยะ  ที่สำคัญ ห้ามดื่มของมึนเมาเด็ดขาด คนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ความเหนื่อยล้าคือกลไกของร่างกายมนุษย์ ยาหรือสารกระตุ้นใดๆ จึงไม่สามารถป้องกันความเหนื่อยล้าได้


 การนอนหลับเท่านั้น ที่จะช่วยป้องกันความเหนื่อยล้าและอาการหลับในได้ การนอนหลับอย่างเพียงพอหรือประมาณ 7-8 ชั่วโมงจะป้องกันความเหนื่อยล้า อาการหลับในที่เกิดกับผู้ขับขี่รถยนต์มีผลมาจากความเหนื่อยล้า ช่วงระยะเวลาที่ร่างกายล้ามากที่สุด คือ ช่วงตั้งแต่เที่ยงคืนถึงรุ่งเช้า เพราะร่างกายถูกกำหนดมา


  ก่อนออกรถควรทบทวนความพร้อมของตนเอง เช่น ถามตนเองว่าขณะนี้เรากำลังอยู่ที่ไหน เพิ่งผ่านที่ไหนมา และกำลังจะไปที่ไหน เหลือระยะทางอีกเท่าไร ถ้าตอบคำถามไม่ได้แม้เพียงหนึ่งข้อ ก็หมายความว่าร่างกายยังไม่พร้อม การขับต่อไปอาจนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ การนอนหลับพักผ่อนเท่านั้นที่จะช่วยป้องกันความเหนื่อยล้าและป้องกันการหลับใน


  การเตรียมรถ อุปกรณ์ประจำรถ จำเป็นต้องมีติดรถไว้ ตรวจดูชุดเครื่องมือ  อุปกรณ์จำพวก สายพ่วง สายลาก ควรติดรถหากไม่มีก็มองหาทีหนีทีไล่เอาไว้ การมีอุปกรณ์เหล่านี้ ในแง่ดี แม้ไม่ได้ใช้เอง ก็สามารถเอาไว้ช่วยเหลือคนอื่นได้  หาไฟสปอตไลท์ที่สามารถต่อใช้งานจากรถไว้หนึ่งดวง หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็หาไฟฉายคุณภาพดีๆ ติดไว้ น้ำมันเชื้อเพลิง มีโอกาสก็ควรจะเติมให้เต็มถัง  โดยเฉพาะเมื่อจะต้องผ่านเส้นทางที่ขาดแคลนสถานีบริการเท่านั้นก็พร้อมจะเดินทาง


 รู้จักการดูแลรักษารถขั้นพื้นฐาน (Basic Vihicle Maintenance)


  ตรวจความพร้อมของระบบไฟและสัญญาณไฟต่างๆ ระดับน้ำมันเครื่อง ระดับน้ำหล่อเย็น ระดับน้ำสำหรับฉีดทำความสะอาดกระจก ระดับสายพานว่าหย่อนหรือไม่ และที่สำคัญคือ สารเหลวที่เกี่ยวข้องกับระบบการขับเคลื่อน เช่น  น้ำมันเบรก น้ำมันเพาเวอร์ น้ำมันเกียร์ และรายการอื่นๆ นอกจากที่กล่าวมา มีผู้ขับขี่หลายคนที่ไม่เคยทดสอบการทำงานของระบบฉีดน้ำล้างกระจกและการทำงานของใบปัดน้ำฝน


  อีกประการหนึ่ง คือ การตรวจสอบประสิทธิภาพการเบรกก่อนจะเคลื่อนรถทุกครั้ง   นอกจากนี้ให้ดูแลยางเป็นพิเศษ  ยางไม่พร้อม การเดินทางเกิดขึ้นไม่ได้ และหากว่าล้อหมุน ไปแล้ว เกิดยางไม่พร้อมกลางทาง  ต้องแก้ไข  ความเร็วรถระดับร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมงกับ หน้ายางสัมผัสพื้นแค่ฝ่ามือ ไม่มีทางที่จะปลอดภัย สภาพยางต้องไม่มีร่องรอยฉีกขาด บวม หรือดอกยางสึกเกินไป  การวัดลมยาง ต้องให้พอดีกับผู้ผลิตรถแนะนำ และหากไม่รู้ว่าจะมี  น้ำหนักบรรทุกรออยู่ระหว่างทางข้างหน้าหรือไม่ ให้เพิ่มเผื่อไว้ มากกว่าปกติ 2-3 ปอนด์ การสูบลมยางไว้ที่ สเปกบรรทุก ดีกว่า การปล่อยให้รถรับน้ำหนัก โดยไม่เติมลม  ยางแข็งจะปลอดภัยกว่ายางอ่อน เพราะว่ายางอ่อน เวลาวิ่งโครงสร้างยางจะเสียดสีกันเอง ก่อให้เกิดความร้อนและนำมาซึ่งยางระเบิด


 เทคนิคการขับรถเชิงป้องกัน (Defensive Driving Tactics)


 เทคนิคมีหลายประการ เริ่มต้นตั้งแต่ การปรับท่านั่งเก้าอี้ การจับพวงมาลัย การแซง การเบรก แต่เทศกาลเรามักจะต้องขับรถในความมืดของกลางคืน ดังนั้น จึงขอหยิบยกการขับขี่กลางคืนมาเป็นตัวอย่าง  ก่อนอื่นเราต้องถามตัวเราเองว่า อุบัติเหตุที่เกิดกลางคืนนั้นเกิดเพราะอะไร? หากบอกว่า เกิดเพราะมีสิ่งกีดขวาง หรือ เพราะจอดรถโดยไม่เปิดไฟ หรือเกิดเพราะขับมาด้วยความเร็วสูง สิ่งที่กล่าวมานั้นมีส่วนถูกแต่ไม่ทั้งหมด เพราะว่าไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของอุบัติเหตุ แต่เป็นเพียงเหตุเบื้องต้นเท่านั้น ปัจจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเกิดอุบัติเหตุที่เกิดในเวลากลางคืน คือ เกิดจากการมองเห็นในระยะกระชั้นชิดมากเกินไป   จนไม่สามารถเบรกหยุดได้ทัน เนื่องจากความเร็วกับระยะการเบรกไม่สัมพันธ์กัน


 ดังนั้น ทุกครั้งที่ต้องขับรถกลางคืน ควรใช้ความเร็วให้สอดคล้องกับระยะไฟส่องสว่างข้างหน้า เช่น "ไฟต่ำ" ของรถนั่งส่วนบุคคลทั่วไปจะส่องสว่างประมาณไม่เกิน 60 เมตร หมายความว่าควรจะใช้ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชั่วโมง เพราะหากเร็วมากกว่านั้นระยะเบรกจะเพิ่มขึ้น สำหรับกรณีที่ต้องการใช้ความเร็วมากกว่านั้น เพราะต้องการถึงจุดหมายปลายทางให้เร็ว แนะนำว่าให้ขับตามรถคันอื่นๆ ที่วิ่งเร็วกว่า หลักการตามรถคันอื่นๆ ควรเลือกขับตามรถที่ลักษณะเหมือนกัน รถเล็กไม่ควรขับตามรถใหญ่เพราะหากมีก้อนหิน หรือสิ่งกีดขวางรถใหญ่จะวิ่งผ่านไปได้ แต่รถเล็กจะไม่สามารถผ่านได้เนื่องจากระดับความสูง ขนาดเส้นรอบวงยางต่างกัน ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุได้ เมื่อขณะขับไปบนท้องถนนและไม่มีรถคันอื่นๆ  วิ่งสวนทางมาหรือมีรถไม่มากก็สามารถเปิด "ไฟสูง" ซึ่งจะทำให้ระยะการมองเห็นยาวไกลขึ้น


แนวทางปฏิบัติในกรณีฉุกเฉิน


 ประเด็นเรื่องการเตรียมพร้อม ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ หากเตรียมพร้อมไว้ได้ก็จะเป็นการดี  เหตุฉุกเฉินเบื้องต้น เราอาจจะต้องการยาในกรณียาสามัญประจำรถ มีติดเอาไว้ก็ไม่เสียหาย ประเภทยาดม ยาทาแก้ปวด  ยาแดง ทิงเจอร์ การได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ จะได้รับการบรรเทา นอกจากนี้เราควรจะมีเบอร์โทรศัพท์ ประกันภัยสำคัญๆ เช่น หน่วยกู้ภัย ญาติพี่น้อง  ตำรวจทางหลวง (1193) เพื่อแจ้งเหตุ  สอบถามจราจรทางลัด ทางเลี่ยง อุบัติเหตุ กรณีมีความจำเป็นให้นึกถึงขั้นตอนง่ายๆ ถึงรายการที่จะต้องทำเมื่อได้รับอุบัติเหตุ ทั้งหมดคือการเตรียมพร้อมและหากทำได้พร้อมก็ไม่ต้องกังวลอะไรกับการเดินทางช่วงปีใหม่ ขอให้ทุกท่านเดินทางโดยสวัสดิภาพ


นั่งขับและจับพวงมาลัยพื้นฐานขับขี่ปลอดภัย


  ปัจจุบันรถยนต์ได้ติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ เข้าไปในรถมากมาย แต่อุปกรณ์และเทคโนโลยีก็เป็นเพียงเครื่องบรรเทาความรุนแรงจากอุบัติเหตุ หรือไม่ก็ลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุเท่านั้น "ความปลอดภัย" จะเกิดก็ต่อเมื่อผู้ขับเองต้องเพิ่มทักษะของตัวเองและมีความรู้

ตำแหน่งการนั่งขับ


 การนั่งขับรถไม่ใช่เพียงเพื่อความสบายในการขับขี่เท่านั้น แต่เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ท่านขับขี่อย่างปลอดภัยด้วย เพราะท่านั่งทำให้คนขับสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้อย่างทันที การนั่งที่ถูกต้อง ควรปรับระดับความสูงของเบาะให้สามารถมองเห็นถนนและด้านหน้าของรถ เหนือระดับพวงมาลัยได้อย่างชัดเจน ในขณะเดียวกัน สายตาของผู้ขับ ต้องสามารถมองเห็นอุปกรณ์สำคัญๆ ภายในหน้าปัดของรถได้ด้วย


 การปรับระดับการนั่ง การนั่งที่ดีจะทำให้ลดการบาดเจ็บเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุสุดวิสัย ลองคว่ำฝ่ามือ แล้ววางส่วนข้อมือตรงส่วนบนสุดของพวงมาลัย (ตำแหน่ง 12 นาฬิกา) โดยที่ไหล่ของคุณยังคงชิดกับพนักพิง นี่คือการวัดระยะห่างของตัวเราจากพวงมาลัยที่ถูกต้อง ความสมบูรณ์ของการควบคุมพวงมาลัย คือสามารถเลี้ยวรถโดยมือไม่หลุดจากพวงมาลัย หลังติดเบาะ


 การนั่ง ต้องแน่ใจว่าส่วนบนของพนักพิงศีรษะอยู่ในระดับคิ้ว ซึ่งเป็นการปรับพนักพิงศีรษะที่ถูกต้อง จากนั้นลองเหยียบคลัทช์หรือเบรก (กรณีเป็นรถเกียร์อัตโนมัติ) จนสุด ในขณะที่หลังต้องชิดกับเบาะ และมือของคุณอยู่ที่ ตำแหน่ง 9 และ 15 นาฬิกา ของพวงมาลัยโดยไม่ต้องเอี้ยวตัว แน่ใจได้เลยว่าเป็นตำแหน่งการนั่งในระยะที่ถูกต้อง


 ระยะการวางขา เป็นสิ่งสำคัญ ระยะที่ควรจะเป็นนั้น ให้ใช้หลังพิงพนักในขณะที่กดเท้าซ้ายลงไปเบาๆ บนแป้นเบรก หรือคลัทช์ ลำตัวผู้ขับจะต้องชิดกับพนักพิง ซึ่งตัวพนักพิงจะช่วยให้เกิดความมั่นคง เมื่อกดแป้นคลัทช์หรือเบรกจนสุด เข่าจะต้องอยู่ในลักษณะงอเล็กน้อย เพื่อช่วยลดการบาดเจ็บที่กระดูกเชิงกรานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ


เข็มขัดนิรภัย


 ในการขับขี่รถยนต์ สิ่งที่ขาดไม่ได้คือ เข็มขัดนิรภัย เมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือเมื่อคุณเบรกอย่างรุนแรง เข็มขัดจะช่วยยึดลำตัวของผู้ขับหรือรัดให้แน่นขึ้น เพื่อให้แผ่นหลังชิดกับพนักพิงโดยไม่หลุดออกไปหน้ารถ เข็มขัดนิรภัย ยังมีส่วนช่วยให้การนั่งขับมีความมั่นคง ส่งผลถึงการควบคุมพวงมาลัยได้อิสระเมื่อรถมีแรงเหวี่ยงโดยไม่ต้องฝืนตัวต้านแรง เพราะเข็มขัดจะรั้งให้ตำแหน่งการนั่งของคุณอยู่บนเก้าอี้อย่างมั่นคง


 1. เมื่อคาดเข็มขัด สายเข็มขัดควรจะแนบกับลำตัว (อย่าใช้อุปกรณ์เหนี่ยวรั้งอื่นๆ)

 2. ตรวจสอบเข็มขัดโดยการดึง และระวังอย่าให้เข็มขัดบิด

 3. ควรปรับระดับเข็มขัดตรงสะโพก เพื่อให้เข็มขัดพาดอยู่ตรงกลางกระดูกเชิงกราน

 4. คาดเข็มขัดนิรภัยก่อนติดเครื่องยนต์เสมอ

การเลือกใช้ยางเปอร์เซ็น

การซื้อยางรถยนต์มือสอง หรือยางเปอร์เซ็นต์ นั้นมีมานานแล้ว แต่ในขณะที่ปัจจุบันยางรถยนต์ใหม่มีราคาถูกลงและมีให้เลือกมามกมาย แต่ยางมือสอง ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่พอสมควร ด้วยราคาที่ค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับการซื้อยางใหม่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็สามารถได้ยางที่ดีสมรรถนะสูง แม้จะผ่านการใช้งานมาบ้างก็ตามที

                ยางเปอร์เซ็นต์ ที่ขายกันโดยมาก เป็นยางที่ผ่านมาการใช้งานแล้ว โดยคำว่า เปอร์เซ็นต์ เป็นคำแทนสภาพยางรถยนต์ที่ผ่านใช้งาน ยิ่งมีความสมบูรณ์มาก ก็ยิ่งมีราคาแพง บางเส้นอาจมีราคาเทียบเท่ายางใหม่ที่หาซื้อได้ทั่วไปเลยทีเดียว

                แม้จะมีราคาที่แพงแต่ยางมือสอง ก็เปรียบดังสินค้ามือสองทั่วไป คือมีสภาพที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว แถมยางมือสองที่ผ่านการใช้งานมาแล้วยังไม่ได้รับการเก็บรักษาที่ดี เหมือนยางมือหนึ่งทั่วไป ทำให้แม้ยางจะอยู่ในสภาพที่ดีแต่ก็อาจจะเสื่อมสภาพได้มากกว่าที่เราคิด


                ไม่เพียงเท่านี้ นอกจากยางเปอร์เซนต์จะผ่านสภาพการใช้งาน และการเก็บรักษายางที่เป็นไปตามสภาพทั่วไปแล้ว ยางรถยนต์มือสองบางเส้น ยังใกล้สิ้นสุดอายุการใช้งาน  ทั้งในแง่ของสภาพยางที่เหลือเนื้อยางใช้งานที่ต่ำกว่าที่ควร หรือไม่ ก็มีเนื้อยางที่เหมาะสมในการใช้งาน ไม่ว่าจะแตกลายงา  ร้าวหรือ ปริ หรือเป็นยางที่อายุเก่ามาก  แต่เรื่องนี้ก็ยังพอที่จะสามารถตรวจสอบได้จาก สัปดาห์ที่ผลิตของยางเส้นนั้นๆที่จะถูกระบุเป็น ตัวเลข 4 ตัว โดยแทนตัวด้วยสัปดาห์ที่ผลิตในเลข 2 ตัว แรก ส่วน 2 ตัว หลังคือปีที่ผลิต โดยระบุเป็น ค.ศ. เช่น 5202 หมายถึง ยางดังกล่าว ผลิตในสัปดาห์ที่ 52 ของ ปี 2002  เป็นต้น